วันเสาร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เข้าวัดทำไม


เข้าวัดทำไม ....ชยสาโรภิกขุ...

วัดป่านานาชาติ ต.บุ่งหวาย อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี

******

บางคนที่มาวัด เข้ามากราบอาตมาในศาลา ชมว่า ที่นี่ร่มรื่นดีนะครับ น่าอยู่ เสร็จแล้วก็กราบลากลับบ้าน..เขาได้บุญไหม คงได้เหมือนกัน แต่เสียดายว่า ไม่ได้มากกว่านั้นประโยชน์ประการแรกที่เกิดจากการเข้าวัดป่า คือการสัมผัสกับธรรมชาติ มองไปทางไหน ไม่มีป้ายโฆษณา ไม่มีสิ่งใดบาดตา หรือกระตุ้นกิเลส กายกับใจรู้สึกเย็นลงทันที แค่นี้ก็เป็นบุญอยู่แล้ว

บุญ คือ ชื่อของความสุข และอย่างลืมว่า การเดินทางแสวงบุญไม่ใช่การไปหาสิ่งนอกตัวเรา ที่แท้เป็นการแสวงหาโอกาสบำรุงบุญซึ่งอยู่ในใจเราตั้งแต่ยังไม่ออกเดินทาง

ธรรมะไม่ได้เกิดอยู่ที่อื่นไกล หากเกิดที่กาย ที่วาจา ที่ใจของเราแต่ละคน แต่เราจะน้อมธรรมะเข้ามาสู่ใจเพื่อประโยชน์สุขของเรา ครอบครัว และสังคมที่เราอยู่อาศัย ไม่ใช่ของง่ายเลย ต้องฝืนความเคยชินและนิสัยเก่าพอสมควร ในเบื้องต้นเรายังอ่อน ต้องการกำลังใจจากข้างนอกค่อนข้างมาก ท่านจึงให้เราคบผู้ที่ศึกษาดีแล้ว ปฏิบัติดีแล้วเพื่อได้วิธีที่ถูกและเพื่อได้ความมั่นใจว่า การปฏิบัติมีผลจริง ไม่เหลือวิสัย ส่วนมากผู้ที่ตั้งใจปฏิบัติอย่างเอาชีวิตเป็นเดิมพัน มักเป็นนักบวช ท่านจึงให้เราเข้าวัด เข้าวัดต้องเข้าให้เป็น ถ้าหากเรามาคิดทำความเข้าใจกับธรรมชาติของตัวเอง ไม่สนใจชีวิตของเราว่า มันคืออะไรกันแน่ ไม่อยากพัฒนาตน การเข้าวัดก็จะไม่เกิดประโยชน์เท่าที่ควร การปฏิบัติธรรมเท่านั้นที่จะช่วยให้เราเป็นอิสระจากกิเลสได้ การทำบุญอย่างเดียว ไม่ปฏิบัติ ถึงจะทำให้มีสิ่งยึดเหนี่ยวอยู่ในใจบ้าง แต่มันไม่มั่นคง ลึก ๆ แล้วเราจะยังอยู่ในสภาพเดิม คือเคว้งคว้างอยู่เหมือนเรือเล็ก ๆ กลางทะเลอันกว้างใหญ่ มีเข็มทิศก็ใช้ไม่ค่อยเป็น มีสมอก็ไม่รู้จักทอด เอาแต่ประดับประดาเรือก่อนอับปาง ชาวพุทธเราควรสนใจวิธีอุดรู วิธีวิดน้ำบ้าง จะได้เราตัวรอดได้ หากไม่สนใจศึกษาเรื่องตัวเอง เข้าวัดแล้วสักแต่ว่าไหว้พระพอเป็นพิธี ทำบุญบำรุงวัดตามประเพณี แล้วออกไปชมต้นไม้บ้างก่อนกลับ ไม่ใช่ว่าไม่ดี ดีอยู่หรอก แต่ยังดีไม่พอ ศาสนา ธรรมะ เป็นสิ่งที่ต้องน้อมเข้ามาเป็นเครื่องชำระ

ไปวัด ไม่ว่าเพื่อทำบุญสุนทาน ไหว้พระ กราบนมัสการการครูบาอาจารย์ หรือไปจำศีลปฏิบัติธรรม พยายามระลึกอยู่เสมอว่า จุดประสงค์ของเรา ควรอยู่ที่ความดี ความสงบปละปัญญา ระวังอย่าวุ่นบุญก็แล้วกัน หรือร้ายกว่านั้น อย่านั่งในโรงครัว ทานอาหาร คุยเรื่องทางโลก วิจารณ์เรื่องการบ้านการเมือง พรรคไหนดี พรรคไหนเลว หรือนินทาลูกเขย ลูกสะใภ้ อย่าคุยในเรืองใดที่เพิ่มกิเลสในใจ ทั้งของผู้พูดและผู้ฟัง หรือพูดให้ชาววัดแตกแยกกัน ถ้าเป็นอย่างนั้นก็น่าเสียดายเวลาที่สละเข้าวัด เรียกว่าเข้าวัด แต่ไม่ถึงวัด

ในโลกปัจจุบัน โรคทางจิตเพิ่มขึ้นอย่างน่าเป็นห่วง โรคซึมเศร้ากำลังระบาดทั่วโลกพร้อมกับความเจริญ แม้ในหมู่เด็กและวัยรุ่นก็มีมากขึ้นทุกปี มันน่าคิดนะว่า ทำไมในประเทศที่คนมีเงินมีทองพอที่จะสบายได้แล้ว มีความสะดวกทางวัตถุมากพอควรแล้ว ทำไมความซึมเศร้าจึงแพร่หลายเหลือเกิน เป็นไปได้ไหมว่า คนสมัยนี้ กำลังขาดความลาดที่สำคัญยิ่งอย่างหนึ่ง คือความฉลาดในการกำหนดและการปฏิบัติต่อธรรมชาติของจิต

บางคนอยากมีบริษัทมีบริวาร ถือว่ามีบริวารมาก แสดงว่าตนเป็นผู้สำคัญ ต้องการเป็นผู้สำคัญในสายตาของคนอื่น เพราะว่ามองดูภายในแล้วไม่เห็นมีอะไรสำคัญนอกจากความสำคัญที่คนอื่นเขามอบให้ แต่ถ้าความเคารพนับถือตัวเองและความรู้สึกในคุณค่าของชีวิตผูกมัดกับคนอื่น หรือสิ่งอื่น เราจะต้องเครียดอยู่ตลอดเวลา เพราะว่าเราไม่สามารถจะบังคับบัญชาให้คนอื่นหรือสิ่งอื่นเป็นไปตามความต้องการของเราตลอดไป

ดังนั้น ให้ขยันดูธรรมชาติของตัวเอง ดูความรู้สึกนึกคิดต่าง ๆ ว่า มันเกิดอย่างไร มันอยู่อย่างไร มันดับอย่างไร ดูตรงนี้ ปัญญาความรู้เท่าทันธรรมชาติจะเกิดขึ้น เราก็จะทะลุปรุโปร่งว่า สิ่งทั้งหลายเป็นแค่นี้เอง

เมื่อเรารู้สึกว่า เราทำอะไรไม่ถูกต้อง เราก็เลยไม่พอใจตัวเองอีก ไปว่าตัวเองอีก ซึ่งเพิ่มความซึมเศร้าเข้าไปอีก อย่างนี้ก็เป็นวัฏฏะที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันของเราฉะนั้น ท่านให้เราเป็นผู้มีสติ มีสัมปชัญญะ มีความรู้ตัวทั่วพร้อม คือรู้อยู่ตลอดเวลา การปฏิบัติไม่มีเสาร์อาทิตย์ ไม่มีพักร้อน เหมือนลมหายใจ หยุดไม่ได้ เดี๋ยวอันตราย การรู้นี้ต้องรู้อย่างไร รู้อยู่ต่อกายของเรา รู้อยู่ต่อเวทนา รู้อยู่ต่ออาการของจิต รู้อยู่ต่อความคิดดีคิดชั่วต่าง ๆ ที่ปรากฏอยู่ในใจ เพราะถ้าเราไม่รู้ต่อสิ่งเหล่านั้น ไม่มีสติ อวิชชาก็ห่อหุ้ม อวิชชาคือ ความไม่รู้ ถ้าไม่มีวิชา ขาดความเข้าใจในสิ่งใดเรียกว่าอวิชชา

จงมีสติเป็นที่พึ่ง เรามีสติที่ไหน ก็อยู่กับธรรมะที่นั้น ไม่ผิดพลาดในที่นั้น สถานที่เราอยู่ ถึงจะกลางกรุงก็ตาม มีสติอยู่ในใจก็สงบเหมือนวัดป่าได้

ส่วนผู้อุตส่าห์มาอยู่ในวัดแล้วปล่อยสติให้ขาดบ่อย ๆ ในขณะที่ไม่รู้ตัว วัด ก็ไม่ใช่ วัด สำหรับผู้นั้น ในขณะนั้น ซ้ำร้าย เผลอแล้วอาจทำลายบรรยากาศที่อบอุ่นและสามัคคีของชาววัดคนอื่นไปเสียด้วย เพราะผู้ไม่มีสติ ทำอะไรมักไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อคนอื่น เชื่อฟังแต่อารมณ์ความรู้สึกนึกคิดของตัวเอง จึงพร้อมที่จะทำให้คนอื่นที่ตั้งใจมาอยู่วัด ไม่ค่อยได้อยู่วัดเหมือนกัน บาปกรรมก็ทวีขึ้น...ความสงบได้แต่ชื่อ ฉะนั้น ผู้ต้องการอยู่ที่วัด อย่าให้แม่เหล็กแห่งโลกดึงดูดไป... สำรวมกาย วาจา ใจ เพื่อประโยชน์ตนและประโยชน์คนอื่น เอาใจเขาใส่ใจเรา

การเข้าวัดก็เพื่อยกฐานะของตัวเองให้สูงขึ้น ในเบื้องต้นต้องกระเสือกกระสนให้จิตออกจากที่มืด ขึ้นไปอยู่บนทางไปสู่แดนสว่าง พระพุทธองค์ให้เราไม่สันโดษกับสิ่งดีที่เราได้เจริญแล้ว แต่ให้เราหมั่นทำให้ความดีนั้นดียิ่ง ๆ ขึ้นไป เห็นแสงอยู่ปลายอุโมงค์ ต้องเดินให้ถึง ทางก็พอเดินได้ ขาเราก็มี เราจะมัวโอ้เอ้ทำไม

ให้เข้าวัดเพื่อปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นว่าเรา ว่าของเรา เข้าวัดอย่าให้มีความรู้สึกอย่างนี้เลย แม้ความยึดมั่นว่า วัดของเรา (ดีกว่าของเขา) ครุบาอาจารย์ของเรา (เก่งกว่าของเขา) ก็อันตราย อย่ายินดีความคิดอย่างนั้นเลย จิตใจเราพ้นจากความยึดติดทั้งหลายคือจิตประเสริฐ

ขอให้เราทั้งหลายได้เข้าถึงความประเสริฐ ละความเกษมของจิตที่เป็นอิสระจากการบีบคั้นของกิเลสทุกคนทุกท่าน เทอญ

ที่มา http://www.dharma-gateway.com/monk/preach/chayasaro/cs-20.htm

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น