วันอังคารที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2553

อุ้มบุญ


การ "อุ้มบุญ" หรือการตั้งครรภ์แทน ไม่ใช่ประเด็นที่ชัดเจนสำหรับครอบครัวไทย แม้แต่คู่สมรสที่ประสงค์รับบริการก็ยังไม่เข้าถึงข้อมูลและบริการได้เต็มที่

ช่องโหว่เหล่านี้ทำให้เกิดข่าวแพทย์ทำผิดจรรยาบรรณ ทารกไม่มีพ่อแม่ตามกฎหมาย หรือแม่ ซึ่งรับ "ฝากบุญ" เกิดความผูกพันกับเด็กและนำทารกหนีหายปล่อยให้พ่อแม่ตัวจริงต้องเจ็บช้ำ เสียทั้งเงินเสียทั้งดวงใจ

ในปีนี้ คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการสืบพันธุ์ทางการแพทย์ หรือเด็กอุ้มบุญแล้ว เหลือแต่รอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาเห็นชอบเป็นอันเสร็จกระบวนการ

ด้านศูนย์สื่อสารวิทยาศาสตร์ไทย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ หรือ สวทช. จัดเสวนา "360 องศากับปัญหาแม่อุ้มบุญ" เพื่อวิเคราะห์ผลดีผลเสีย เชิญ ศ.น.พ.วิฑูรย์ อึ้งประพันธ์ ที่ปรึกษาศูนย์กฎหมายสุขภาพ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ น.พ.สมชาย สุวจนกรณ์ สูตินรีแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญรักษาปัญหาผู้มีบุตรยาก โรงพยาบาลพระรามเก้า และนางเอ (นามสมมติ) คุณแม่ผู้มีประสบการณ์ตรงเคยใช้บริการแม่อุ้มบุญมาร่วมสะท้อนเสียงแก่สังคมไทย ร่วมเสวนา

ถกกฎหใายใหม่
ห้ามจ้างวานแม่อุ้มบุญ

ศ.น.พ.วิฑูรย์ กล่าวว่า ร่างกฎหมายฉบับนี้จะช่วยคู่สมรสที่ใช้บริการแม่อุ้มบุญสะดวก ปลอดภัย และถูกกฎหมายยิ่งขึ้น เนื่องจากปัจจุบันกฎหมายระบุว่าหญิงที่คลอดบุตรคือมารดา ขณะที่พ่อแม่เจ้าของพันธุกรรมกลับเป็นได้แค่พ่อแม่บุญธรรม รวมทั้งที่ผ่านมามีพ่อแม่บางรายลักลอบจดทะเบียนบุตรซึ่งถือเป็นการแจ้งความเท็จทั้งสิ้น

"แม้ปัจจุบันเราจะมีประกาศแพทยสภาฉบับที่ 1/2540 และ 2/2540 เพื่อบังคับใช้อยู่แล้ว แต่กฎหมายใหม่นี้จะช่วยให้ข้อบังคับและบทลงโทษชัดเจนขึ้น โดยกำหนดคุณสมบัติของแพทย์ผู้ให้บริการคู่สมรสต้องจดทะเบียนถูกต้อง หญิงที่รับฝากครรภ์ต้องไม่ใช่บุตรของสามีหรือภรรยา และต้องผ่านการมีบุตรแล้ว เพื่อให้มีประสบการณ์ตรงในการเลี้ยงดูเด็ก ที่สำคัญร่างกฎหมายใหม่ระบุว่าเมื่อเด็กคลอด ถือเป็นบุตรของคู่สมรสทันที" ทั้งนี้น.พ.วิฑูรย์ ชี้แจงว่า ข้อกำหนดบางอย่าง เช่น การไม่ให้ผู้รับอุ้มบุญเป็นบุตรของคู่สามีภรรยา เพื่อให้เข้ากับสภาพสังคมและศีลธรรมของไทย

ประเด็นที่ถกเถียงกันมากคือ การห้ามจ้างวานแม่อุ้มบุญ เพราะแม้กฎหมายจะเจตนาไม่ให้เกิดการกระทำในรูปแบบการค้า แต่หลายฝ่ายเห็นว่าเป็นการจำกัดวงบุคคลที่จะมาเป็นแม่อุ้มบุญอย่างมาก เพราะนอกจากญาติพี่น้องแล้ว คงยากที่หาใครมาเจ็บตัวกว่า 9 เดือนแทนคนที่ไม่รู้จักมักจี่อย่างไร้ผลตอบแทน

"กฎหมายอนุญาตในเรื่องค่าตอบแทน เนื่องด้วยการตั้งครรภ์ต้องมีค่าใช้จ่าย ทั้งค่าดูแลตัวเอง ค่าเดินทาง รวมถึงค่าชดเชยหยุดงาน อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีข้อสรุปแน่ชัด แพทยสภาจะเป็นผู้กำหนดกฎเกณฑ์ที่เหมาะสมและเสนอคณะกรรมการต่อไป" น.พ.วิฑูรย์กล่าว

กฎหมายเข้มทำหมอเกร็ง

ตัดโอกาสคนรับบริการ

ด้านน.พ.สมชายเห็นว่า แม้ร่างกฎหมายนี้จะทำให้เกิดความชัดเจนในการอุ้มบุญมากขึ้น แต่ยังคลุมเครืออีกหลายจุด เช่น อายุของหญิงที่มาอุ้มบุญ คุณสมบัติคู่สมรส และความยุ่งยากในการนำตัวอ่อนที่เหลือจากการผสมเทียมไปใช้เพื่อการทดลองทางการแพทย์ ซึ่งอาจทำให้แพทย์ที่มีความสามารถกลัวบทลงโทษจนหลีกเลี่ยงการทำวิจัยหรือให้บริการคนไข้

"ในสมัยก่อน การอนุญาตให้บริการแม่อุ้มบุญอยู่ในดุลพินิจของแพทย์ ซึ่งทุกคนล้วนแต่มีแนวคิดที่พยายามให้คุณแม่ตั้งครรภ์ด้วยตัวเองก่อน จนล้มเหลวถึงที่สุดแพทย์จึงใช้วิธีแม่อุ้มบุญ แต่เมื่อมีกฎหมายใหม่มาครอบคลุม แพทย์ต้องบริการอย่างระมัดระวังมาก เพราะต้องระวางโทษจำคุกและปรับร้ายแรง" น.พ.สมชายกล่าวและเล่าว่า จากประสบการณ์ตรงที่ตนรักษาผู้มีบุตรยาก บางครั้งผู้รับบริการมีข้อจำกัดมากมาย และมีความละเอียดอ่อนมากเกินกว่าที่กฎหมายระบุ หากแพทย์ไม่มีอำนาจใช้ดุลพินิจเองบ้างอาจตัดโอกาสคนไข้หลายรายที่อยากเข้ารับบริการจริงๆ

แม่วานอุ้มบุญปวดใจ

ลูกกลายเป็นตัวประกัน

นางเอ (นามสมมติ) คุณแม่ที่เคยใช้บริการแม่อุ้มบุญ ให้ข้อมูลว่าหลังจากเสียค่าใช้จ่ายหลายแสนบาทและรอคอยหลายปี ในที่สุดแพทย์อนุญาตให้ตนใช้บริการแม่อุ้มบุญ แต่เมื่อพาญาติทั้ง 3 คนมาตรวจร่างกายพบว่าไม่มีใครสามารถเป็นแม่อุ้มบุญได้ จึงต้องว่าจ้างเพื่อนบ้านด้วยเงินหลักแสนมาอุ้มบุญ ผลปรากฏว่าช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาเป็นเวลาที่เธอทรมานใจมากที่สุด

"หลังจากผ่านไปสี่เดือน เขาเริ่มตั้งแง่กับเรา ให้เราไปกู้ยืมเงินมาให้หรือพยายามขอเงินเพิ่ม พอเราไม่ให้เขาก็แกล้งไม่ดูแลลูกเรา ทำร้ายลูกเรา เขาทำแบบนี้ทำให้เราเจ็บปวดมาก เหมือนเอาเด็กในท้องเป็นตัวประกัน" นางเอกล่าวและให้ความเห็นต่อไปว่า หากมีกฎหมายอุ้มบุญที่ชัดเจนออกมาถือเป็นเรื่องดี เพราะทำให้หญิงจำนวนมากใช้บริการได้ อย่างเปิดเผยและอุ่นใจเพราะมีกฎหมายคุ้มครอง


วันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2553 ปีที่ 20 ฉบับที่ 7153 ข่าวสดรายวัน
หน้า 25

วันจันทร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2553

10 นิสัย ทำร้ายสมอง


ลองมาดูกันว่าอะไรบ้างที่เป็นพฤติกรรมทำร้ายสมอง?

1. ไม่ทานอาหารเช้า นอกจากทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำแล้วยังเป็นเหตุให้สารอาหารไปเลี้ยงสมอง ไม่เพียงพอ

2. กินอาหารมากเกินไป จะทำให้หลอดเลือดแดงในสมองแข็งตัว เป็นเหตุให้เกิดโรคความจำสั้น

3. สูบบุหรี่ เป็นสา-เหตุให้สมองฝ่อและโรคอัลไซเมอร์

4. ทานของหวานมากเกินไป ของหวานจะไปขัดขวางการดูดกลืนโปรตีนและสารอาหารที่เป็นประโยชน์ เป็นสาเหตุของการขาดสารอาหารและขัดขวางการพัฒนาของสมอง

5. มลภาวะ สมองเป็นส่วนที่ใช้พลังงานมากที่สุดในร่างกาย การสูดเอาอากาศที่เป็นมล-ภาวะเข้าไปจะทำให้ออกซิเจนในสมองมีน้อย ส่งผลให้ประสิทธิภาพของสมองลดลง

6. การอดนอน ถ้าอดนอนเป็นเวลานานจะทำให้เซลล์สมองตายได้

7. นอนคลุมโปง การนอนแบบนี้จะเพิ่มคาร์บอนไดออกไซด์ให้มากขึ้น และลดออกซิเจนให้น้อยลงส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของสมองไปในตัว

8. ใช้สมองในขณะที่ไม่สบาย การทำงานหรือเรียนขณะกำลังป่วย จะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของสมองลดลงเหมือนกับการทำร้ายสมองไปในตัว

9. ขาดการใช้ความคิด การคิดเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในการฝึกสมอง การขาดการใช้ความคิดจะทำให้สมองฝ่อ

10. เป็นคนไม่ค่อยพูด ทักษะการพูดเป็นตัวแสดงถึงประสิทธิภาพของสมองนิสัยทำร้ายสมองทั้งสิบอย่าง นี้คัดมาฝากกันจาก “ต้นคิด” จดหมายข่าวรายเดือน ของสำนักงานพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสารสุขภาพ เพื่อจะได้ช่วยกันหลีกเลี่ยงพฤติกรรมทำร้ายสมองของตัวเอง

ที่มา : ไทยรัฐ

Neurobic : ศาสตร์ใหม่บริหารสมองให้แข็งแรง

Neurobic : ศาสตร์ใหม่บริหารสมองให้แข็งแรง


เดิมมีความเชื่อว่าเมื่อสมองพัฒนาสมบูรณ์จะถูกใช้งานไปเรื่อยๆ
จนล่วงเข้าวัยผู้ใหญ่เซลล์สมองจะลดลง และไม่สร้างขึ้นใหม่
เป็นสาเหตุให้เกิดโรคสมองเสื่อมในวัยชรา
แต่ปัจจุบันค้นพบแล้วว่าหากรู้จักใช้สมองอย่างต่อเนื่อง และกระตุ้นถูกวิธี
เซลล์ประสาทจะแตกแขนงทดแทนส่วนที่ศูนย์เสียไป
ความจำจึงดีได้แม้อายุมากขึ้นแล้วก็ตาม



ออกกำลังสมองด้วยนิวโรบิคส์ (Neurobic Exercise)

การฝึกทักษะสมองนี้เกิดจากแนวคิด “นิวโรบิคส์”
ซึ่งค้นคว้าโดยศาสตราจารย์ลอเรนซ์ ซี แคทซ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านประสาทวิทยา
ชาวอเมริกัน โดยนำแนวคิดการออกกำลังแบบแอโรบิคส์ ที่ทำให้ร่างกายแข็งแรง
ด้วยการขยับกล้ามเนื้อหลายๆ ส่วน
มาประยุกต์กลายเป็นวิธีบริหารสมองที่ใช้ประสาทสัมผัสไปกระตุ้นกล้ามเนื้อ
สมองหลายๆ ส่วนให้ขยับและตื่นตัว ทำให้แขนงเซลล์ประสาทแตกกิ่งก้านสาขา
เซลล์สมองสื่อสารกันมากขึ้น เกิดการเรียนรู้สิ่งใหม่ สมองแข็งแรงขึ้น



ยิ่งใช้ชีวิตแบบเดิมมากเท่าไร สมองก็ไม่ได้ใช้งานมากเท่านั้น
เพราะสมองจดจำรูปแบบพฤติกรรมได้แล้ว เช่น
ถ้าคุณขับรถไปทำงานตามเส้นทางที่คุ้นเคยทุกวัน สมองจะใช้ประสาทส่วนเดิม
อาจทำให้เซลล์ประสาทบริเวณนั้นแข็งแรง
แต่ก็ลดทอนประสิทธิภาพของเซลล์ประสาทส่วนอื่น (เพราะไม่ได้ออกกำลังคิด)
ถ้าลองเปลี่ยนเส้นทางไปทำงาน คุณจะรู้สึกตื่นเต้นในการจดจำเส้นทาง
ผู้คนหรือร้านค้าที่ขับผ่าน



และเชื่อเถอะว่าขณะนั้นสมองหลายส่วนกำลังมีกิจกรรมร่วมกัน
ทำงานประสานกันเต็มที่ เพื่อเชื่อมโยงเซลล์ประสาทส่วนอื่นรูปแบบใหม่
มีการหลั่งสาร “นิวโรโทฟินส์” ซึ่งเป็นอาหารสมองมากขึ้น
เซลล์สมองแข็งแรงขึ้น
ตามหลักนิวโรบิคส์สมองจึงโหยหาประสบการณ์แปลกใหม่เหนือการคาดหมาย
เพื่อการเติบโตนั่นเอง



หลักการของนิวโรบิคส์ เปลี่ยนแปลงชีวิตประจำวัน
การทำกิจกรรมซ้ำแบบเดิมทุกวัน ทำให้สมองไม่ได้รับการกระตุ้น นาน
เข้าจะทำโดยไม่ต้องคิด (Subconscion) สมองจะทำงานลดลง
เซลล์สมองถูกกระตุ้นลดลง นำไปสู่การฝ่อของเซลล์ นิวโรบิคส์จึงเริ่มจาก
เปลี่ยนแปลงชีวิตประจำวันง่ายๆ เช่น เคยกินข้าวหลังอาบน้ำ
ให้กินข้าวก่อนอาบน้ำ เพิ่มกิจกรรมใหม่ให้ตัวเอง ออกไปวิ่งตอนเช้า
ปรุงอาหารเช้าด้วยตนเอง เปลี่ยนวิธีปฏิบัติ
เช่นใช้มือข้างที่ไม่ถนัดแปรงฟันหรือกดรีโมท ฟังวิทยุจากสถานีใหม่
(ที่ไม่เคยฟัง)



ใช้ประสาทสัมผัสมากขึ้น ดึงความสามารถของประสาทสัมผัสทั้ง รูป รส
กลิ่น เสียง สัมผัส และอารมณ์ มาใช้ให้มากที่สุด
และใช้ประสาทสัมผัสมากกว่า 1 อย่างขึ้นไป โดยงดใช้ประสาทสัมผัสที่ใช้บ่อย
เช่นใช้มือคลำหาของ แทนการมองหา สื่อสารด้วยท่าทางแทนคำพูด
ผสมผสานประสาทสัมผัสทั้งห้า เช่น ดมกลิ่นหอมของดอกไม้ขณะฟังเพลง
ลิ้มลองรสชาติไปพร้อมสูดดมกลิ่นของอาหาร กระตุ้นประสาทสัมผัส เช่น
ใช้กลิ่นบำบัด จุดน้ำมันหอมระเหยขณะนวดตัว เล่นเกมส์ฝึกสมอง เช่น เล่นไพ่
เล่นหมากรุก หมากล้อม



ท้าทายประสบการณ์ใหม่ การทำสิ่งใหม่ๆ
ที่ไม่เคยทำมาก่อนเป็นการกระตุ้นสมองอย่างดี และได้
ใช้ประสาทสัมผัสทุกด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “อารมณ์” เมื่อรู้สึกสนุก
มีความสุขกับกิจกรรมใหม่ ร่างกายจะหลั่งสารแห่งความสุข
นอกจากมีผลดีต่อสมอง ยังมีผลดีต่อร่างกายส่วนด้วย ซึ่งอาจทำได้โดย

เดินทางท่องเที่ยว การไปสถานที่ใหม่ๆ เจอคนใหม่ๆ และการแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้า ทำให้สมองได้คิดวิเคราะห์ แก้ปัญหามากขึ้น


ทำงานอดิเรกใหม่ เช่น เล่นกีฬา งานฝีมือ เย็บปักถักร้อย หรือเลือกซื้อสินค้าในตลาดสดที่ได้พบปะผู้คนมากขึ้น

พบปะสังสรรค์ การเข้าสังคมทำให้สมองได้แก้ปัญหามากขึ้น
มีการสื่อสารระหว่างเซลล์สมองมากขึ้น เช่นเข้าร่วมกิจกรรมในครอบครัว
เป็นสมาชิกชมรม หรือเข้าร่วมกิจกรรมสาธารณะประโยชน์

ฝึกสมองให้ไบร์ทไม่ใช่เรื่องยาก
เริ่มตั้งแต่วันนี้กับหลากหลายวิธีที่ H&C แนะนำหรือ
คุณอาจออกแบบเทคนิคกระตุ้นสมองของคุณเองก็ทำได้ค่ะ



ที่มา สยามดารา

ฟัวกรา Foie Gras ตับห่านจานแพง




ฟัวกรา Foie Gra
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
อ้างอิง http://en.chinabroadcast.cn/855/2006/04/11/501@75992.htm

ฟัวกรา (ฝรั่งเศส: Foie gras [fwɑ gʁɑ]) แปลเทียบเคียงว่า fat liver คือตับห่านหรือเป็ดที่ถูกเลี้ยงให้อ้วนเกิน ฟัวกราได้ชื่อว่าเป็นอาหารฝรั่งเศสที่ดีที่สุด เช่นเดียวกับทรัฟเฟิล มีลักษณะนุ่มมันและมีรสชาติที่แตกต่างจากตับของเป็ดหรือห่านธรรมดา

ใน พ.ศ. 2548 ทั่วโลกมีการผลิตฟัวกราประมาณ 23,500 ตัน ในจำนวนนี้ ประเทศฝรั่งเศสเป็นผู้ผลิตมากที่สุดคือ 18,450 ตัน หรือร้อยละ 75 ของทั้งหมด โดยร้อยละ 96 ของฟัวกราจากฝรั่งเศสมาจากตับเป็ด และร้อยละ 4 มาจากตับห่าน ประเทศฝรั่งเศสบริโภคฟัวกราใน พ.ศ. 2548 เป็นจำนวน 19,000 ตัน[1]

ประเทศฮังการี ผลิตฟัวกรามากเป็นอันดับสอง และส่งออกมากเป็นอันดับหนึ่ง คือ 1,920 ตันใน พ.ศ. 2548 โดยเกือบทั้งหมดส่งออกไปที่ฝรั่งเศส

องค์การสิทธิสัตว์ทุกแห่ง และองค์การความเป็นอยู่สัตว์เกือบทุกแห่ง ถือว่าขั้นตอนการผลิตฟัวกรานั้นโหดร้าย
เนื่องจากการบังคับป้อนอาหาร และผลกระทบต่อสุขภาพจากตับที่ใหญ่ขึ้นการผลิตฟัวกรานั้นผิดกฎหมายในหลายพื้นที่
(แต่การจำหน่ายฟัวกราที่ผลิตจากที่อื่นนั้นไม่จำเป็นว่าต้องผิดกฎหมาย) ได้แก่ นอร์เวย์ เนเธอร์แลนด์ เดนมาร์ก
โปแลนด์ (เคยเป็นผู้ผลิตอันดับ 5 ของโลก เมื่อ พ.ศ. 2542) ฟินแลนด์ เยอรมนี ลักเซมเบิร์ก สวิตเซอร์แลนด์ สวีเดน
สหรัฐอเมริกา: เมืองชิคาโก มลรัฐแคลิฟอร์เนีย (เริ่ม พ.ศ. 2555) สหราชอาณาจักร สาธารณรัฐเช็ก ออสเตรีย (6 ใน 9 รัฐ)
อาร์เจนตินา อิตาลี อิสราเอล ไอร์แลนด์





















การป้อนอาหาร ในการผลิตฟัวกรา (เรียกขั้นตอนนี้ว่า gavage)










































วันอาทิตย์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2553

พระสานด้วยไม้ไผ่ใหญ่ที่สุดในโลก



พระสิงห์สานชนะมาร พระสานด้วยไม้ไผ่ใหญ่ที่สุดในโลก

การสร้างพระพุทธรูปขนาดใหญ่ อาศัยความศรัทธาอย่างเดียวไม่พอ หากต้องอาศัยพลังความสามัคคีแห่งกัลยาณมิตรด้วย โดยเฉพาะการจัดสร้างด้วย วิธีการสานด้วย “ตอก” ซึ่งในปัจจุบันนี้ไม่ค่อยมีให้พบเห็นมากนัก โดยล่าสุด มีการจัดสร้างพระสิงห์สานชนะมาร หน้าตักกว้าง 9.9 ศอก สูง 19 ศอก ประดิษฐานอยู่ที่วัดหิรัญญาวาส บ้านเหมืองแดงน้อย ต.เกาะช้าง อ.แม่สาย จ.เชียงราย
พระสิงห์สานชนะมาร เป็นลักษณะพระสิงห์หนึ่ง เชียงแสน ที่ทำจากไม้ไผ่ชนิดหนึ่ง ที่ถิ่นกำเนิดมาจากพม่า อยู่บนดอยสูง นำมาจักสานเป็นองค์พระ โดยใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่น เป็นพระไม้ไผ่ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ไม่มีใครเหมือน ไม่เหมือนใคร
วัตถุประสงค์ เพื่อจรรโลงสืบต่ออายุพระพุทธศาสนาให้ยืนยาวต่อไป และต่อชะตาอายุให้ยืนยาวมั่นคงถาวร ไร้โรคภัยไข้เจ็บ ถ้าองค์พระจักสานลงยางรัก และประกอบพิธีเรียบร้อย จะถวายเป็นพระราชกุศล ในวันที่ 5 ธันวาคม 2552
พระสมุห์ภูวไนย ภูวนโย เจ้าอาวาสวัดหิรัญญาวาส เปิดเผยถึงความเป็นมาว่า พระสิงห์สานชนะมาร หรือพระสิงห์หนึ่ง เชียงแสน (โบราณ) ที่ทำจากไม้ไผ่ ซึ่งมีถิ่นกำเนิดมาจากบนดอยเมืองโกล ประเทศพม่า โดยได้ขอเจ้าหน้าที่ของพม่าว่า จะนำไม้ไผ่มุงเพื่อที่จะนำมาสร้างองค์พระ เจ้าหน้าที่พม่าจึงอนุญาตให้ตัดไม้ได้

แต่การตัดและนำลงมาจากยอดดอยสูงนั้น ลำบากมาก เนื่องจากระยะทางและสภาพภูมิอากาศ และถนนหนทางเป็นทางขรุขระ จึงต้องขอแรงจากชาวปะหล่อง ซึ่งตั้งถิ่นฐานอยู่บนดอยนี้ โดยชาวปะหล่องทั้งหมู่บ้าน ร่วมร้อยกว่าคนช่วยกันนำไม้ไผ่มุง 39,000 ท่อน ลงมาจากยอดเขา ซึ่งเป็นจิตศรัทธาอย่างแรงกล้าของชาวปะหล่อง


หลังจากนั้น จึงได้เชิญช่างสานพระด้วยไม้ไผ่ คือ นายบุญ หรือเรียกภาษาพื้นบ้านทางเหนือว่า สล่าบุญ ซึ่งเป็นสล่าชาวพม่า เชื้อสายไทยใหญ่ และเป็นหนึ่งในสองสล่าเท่านั้นที่ทำพระสานได้ โดยสล่าอีกท่านได้ไปอยู่ประเทศศรีลังกาแล้ว จึงได้แนวคิดและบอกสล่า ให้สร้างพระสิงห์สาน ที่จะประดิษฐานไว้ในบวรพุทธศาสนา โดยใช้ศิลปะแบบพระสิงห์หนึ่งเชียงแสน โดยมีหน้าตักกว้าง 9.9 ศอก สูง 19 ศอก
สล่าบุญ ถึงกับอุทาน ออกมาว่า ลำพังการสร้าง พระอินทร์สานขนาดเล็ก ยังใช้ความพยายามเป็นอย่างมาก แล้วนี่มีขนาดใหญ่เพียงนี้ จะสร้างสำเร็จหรือไม่ คงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่ก็ยังไม่ละความพยายาม ก็ได้อธิษฐานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หากชีวิตนี้มีบุญบารมีที่จะสร้างพระสาน ก็ขอให้อำนวยอวยชัย ให้เกิดบุพนิมิตด้วยเทอญ



พระสิงห์สานชนะมาร เริ่มสานวันที่ 29 กรกฎาคม 2552 จนถึงวันนี้ 21 ตุลาคม ก็ใช้เวลา 85 วัน ด้วยความร่วมแรงร่วมใจอันแรงกล้าของชาวบ้านในหมู่บ้านเกาะช้าง และพุทธศาสนิกชนผู้ใจบุญ จึงได้ออกแรงกัน โดยชาวบ้านต่างคนต่างนำเครื่องไม้เครื่องมือที่ทำจักสานได้มาช่วยกันเหลาตอกเป็นแสนเส้น จึงได้ทำสำเร็จขึ้น ซึ่งใช้เวลา 85 วัน และมีน้ำหนักถึง 2 ตัน โดยตั้งใจสานเสร็จในเวลา 99 วันที่ตั้งใจอธิษฐานไว้
สำหรับไม้ไผ่มุง ที่นำมาทำองค์พระนี้ เจ้าอาวาสวัดหิรัญญาวาส บอกว่า ต้องตัดเดือนสามไทย หรือเดือนกุมภาพันธ์ เพราะว่าการตัดเดือนนี้จะไม่มีมอดมากินไม้ไผ่ หลังจากนั้นจึงนำน้ำส้มจากการเผาไม้ และนำน้ำจากการเผาไหม้มาชุบไม้มุง จึงนำมาจักสานได้ โดยในขณะนี้ก็เป็นองค์พระแล้ว เหลือแต่แค่ทาด้วยน้ำยางรัก มีลักษณะเป็นสีดำ เพื่อเป็นการรักษาเนื้อไม้ให้อยู่ คงทน ถาวรยาวนานต่อไป
ส่วนเศษไม้มุงที่เป็นเศษไม้จากการเหลาของชาวบ้านก็จะนำเศษไม้มาบดทำเป็นมวลสาร โดยจะทำเป็นพระองค์เล็กสำหรับไว้บูชา
"ความเชื่อตามโบราณว่า ผู้ใดได้สร้างพระนี้ด้วยตนเอง หรือร่วมกันสร้างเพื่อเป็นพุทธบูชานั้น จะบังเกิดอานิสงส์มากมาย พระสิงห์สานเป็นพระแห่งความรัก หากหนุ่มสาวคู่ใด สักการบูชา จะรักกันยาวนานตลอดไป ด้วยอานิสงส์แห่งการได้ใช้ไม้มุง มาทำพระทั้งองค์ จะบังเกิดผล คือ อานุภาพปกคลุมรักษาตระกูล และตนเองให้อยู่รอด ปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวง จะสานต่อชะตาอายุให้ยืนยาวมั่นคงถาวร ไร้โรคภัยไข้เจ็บตลอดไป และกิจการ ร้านค้า ธุรกิจ ให้เจริญงอกงาม เพิ่มพูนไพบูลย์ ทวีคูณร้อยเท่า พันเท่า และสานต่อตระกูลเพิ่มพูนให้ตระกูลสูงส่งเป็นที่เชิดหน้าชูตา ลูกหลานเป็นคนดี ว่าง่ายสอนง่าย เป็นที่ยอมรับของสังคม และในวันที่ 5 ธันวาคม 2552 นี้ ซึ่งเป็นวันพ่อ จะได้ถวายพระราชกุศลต่อไป" พระสมุห์ภูวไนย กล่าว



การสร้างพระด้วยการใช้ตอกสานนั้น พระพุทธรูปองค์เก่าแก่ที่สุด คือ หลวงพ่อสาน เป็นพระพุทธรูปที่สร้างโดยใช้ไม้ไผ่สานเป็นองค์ แล้วลงรักปิดทอง ซึ่งเป็นศิลปะรูปแบบของพม่า อันงดงามและทรงคุณค่ายิ่ง ประดิษฐานอยู่ที่ วัดจอมสวรรค์ ต.ทุ่งกวาว อ.เมือง จ.แพร่ โดยวัดแห่งนี้มีความวิจิตรงดงามหลายอย่าง หากจะมองดูแต่ภายนอก จะเห็นรูปทรงของวัดพม่า จะแปลกอยู่ตรงที่สร้างด้วยไม้ล้วนๆ ที่สำคัญ คือ รูปทรงของตัวอาคารตัวอาราม เป็นทั้งโบสถ์วิหาร และกุฏิไปในตัว

ส่วนอีกองค์หนึ่ง คือ “พระเจ้าอินทร์สาน” เป็นพระพุทธรูปปางไสยาสน์ที่สานด้วยตอกทั้งองค์ มีความยาวขององค์พระพุทธรูป 12 เมตร 2 เซนติเมตร ประดิษฐานอยู่ที่ สำนักสงฆ์พระธาตุจอมก้อย หมู่ 8 ต.บ้านขอ อ.เมืองปาน จ.ลำปาง (การเดินทางจากตัวเมืองลำปาง ไปตามถนนสายลำปาง-เมืองปาน ประมาณ 45 กม.) ที่มีความงดงามและโดดเด่น และมีเพียงองค์เดียวในประเทศไทย ที่วัสดุการสร้างมีความแปลกและสวยงามแตกต่างจากพระพุทธรูปทั่วๆ ไป เพราะใช้ เส้นตอกสาน ให้เป็นองค์พระพุทธรูป จนเป็นที่มา และเรียกกันว่า พระพุทธเจ้าตอกสาน
สำหรับ ตอก ที่นำมา สาน เป็นองค์พระพุทธรูปนั้น สร้างด้วย ไม้ไผ่มุง ที่เชื่อกันว่า มีลักษณะเหนียว และทนทานเป็นพิเศษ โดยไม้ไผ่มุงแตกจะมีกิ่งก้านสาขาเลื้อยขึ้นมุงไม้ใหญ่ที่อยู่บริเวณรอบๆ คล้ายหวาย


มุ่นพระเกษาที่ทำจากไม้

พระพุทธรูปองค์ดังกล่าวเป็นฝีมือของ กลุ่มช่างจากสิบสองปันนา ช่างที่ร่วมสานมีใจวิรัติ งดบาปอกุศลยิ่งขึ้น โดยสมาทานอุโบสถศีล เพื่อปฏิบัติบูชาพระรัตนตรัย ดวงแก้ว 3 ประการ ละชั่ว ประพฤติดี ทำใจให้บริสุทธิ์ สะอาดผ่องใส นอกจากนี้แล้ว ผู้ปฏิบัติงานทุกคน ก่อนเหลาและสานองค์พระพุทธรูปเจ้าตอกสาน ต้องสมาทานเบญจศีล เพื่อความเป็นสิริมงคลโดยทั่วกัน ตลอดระยะเวลาในการสร้าง หรือสาน ได้มีพระสมณะ สาธุชน อุบาสก อุบาสิกา อันกอปรด้วยน้ำใจศรัทธาอันแรงกล้า เดินทางมาจากทิศทั้ง 4 ทั้งใกล้และห่างไกล เพื่อปรารถนาที่จะให้องค์พระสำเร็จลง และอยากจะได้เห็นเป็นบุญตา
พระสิงห์สานเป็นพระแห่งความรัก หากหนุ่มสาวคู่ใด สักการบูชา จะรักกันยาวนานตลอดไป ด้วยอานิสงส์แห่งการได้ใช้ ไม้มุง มาทำพระทั้งองค์ จะบังเกิดผล คือ อานุภาพปกคลุมรักษาตระกูลและตนเองให้อยู่รอด ปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวง




http://www.komchadluek.net/detail/20091029/34709/พระสิงห์สานชนะมารกับ...ศรัทธาสานพระด้วยไม้ไผ่ใหญ่ที่สุดในโลก.html

เคล็ดลับ 12 ข้อ จากแพทย์จีน

เคล็ดลับ 12 ข้อ
1. หวีผมบ่อยๆ: หวีผมเบาๆ บ่อยหน่อยช่วยให้ตาสว่าง และรากผมแข็งแรง (ใช้หวีซี่ห่างหน่อย แปรงเบาหน่อย เพื่อกันผมหลุด)
2. ถูใบหน้าบ่อยๆ: ล้างมือด้วยสบู่ หรือเจลแอลกอฮอล์ให้สะอาดก่อน หลังจากนั้นใช้ฝ่ามือ 2 ข้างถู หน้าเบาๆ บ่อยหน่อยเพื่อกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น ใบหน้าเปล่งปลั่ง
3. เคลื่อนไหวดวงตาบ่อยๆ: ให้มองไกล-มองใกล้ มองข้างนอก-ข้างใน มองบน-มองล่าง หลีกเลี่ยงการมอง หรือจ้อง อะไรนานๆ โดยเฉพาะคนที่ทำงานคอมพิวเตอร์ควรพักสายตาด้วยการมองไกลอย่างน้อยทุกชั่วโมง
4. กระตุ้นใบหูบ่อยๆ: การดึงหู ดีดหู บีบหู ถูใบหูเบาๆ บ่อยหน่อย ช่วยบำรุงตานเถียน(จุดฝังเข็ม) ซึ่งเป็นตำแหน่งที่เก็บพลังงานของร่างกาย (ใต้สะดือ) สัมพันธ์กับไต ซึ่งเปิดทวารที่หู ทำให้แรงดี ป้องกันเสียงดังในหู หูตึง และอาการเวียนหัว
5. ขบฟันบ่อยๆ: ขบฟันเบาๆ บ่อยหน่อย(ไม่ใช่ขบแรงดังกรอดๆ) ช่วยให้ฟันแข็งแรง และกระตุ้นการหลั่งน้ำย่อย
6. ใช้ลิ้นดุนเพดานปากบ่อยๆ: การใช้ปลายลิ้น กระตุ้นเพดานบนด้านหน้าเป็นการกระตุ้นจุดฝังเข็ม เพื่อเชื่อมพลัง ลมปราณตู๋และเยิ่น ซึ่งเป็นเส้นควบคุมแนวกลางลำตัวส่วนหลัง และส่วนหน้าร่างกาย ทำให้เกิดการกระตุ้นการหลั่งสารน้ำ และน้ำลาย
7. กลืนน้ำลายบ่อยๆ: การกลืนน้ำลายบ่อยๆ ช่วยกระตุ้นพลังบริเวณคอหอย และกระตุ้นการย่อยอาหาร

8. หมั่นขับของเสีย: หมั่นขับของเสีย โดยเฉพาะดื่มน้ำให้พอ กินอาหารที่มีเส้นใย ออกกำลัง เพื่อ ป้องกันท้องผูก เมื่อปวดปัสสาวะหรืออุจจาระให้ถ่ายทันที อย่ารอโดยไม่จำเป็น การทิ้งของเสียไว้ในร่างกายนานเกินทำให้เกิดสารพิษ และการดูดซึมสารพิษ ( กลับเข้าสู่ร่างกาย) มากขึ้น ทำให้ป่วยง่าย
9. ถูหรือนวดท้องบ่อยๆ: ให้นวดท้องตามเข็มนาฬิกาเบาๆ เพื่อช่วยให้การขับถ่ายของเสียดีขึ้น
10. ขมิบก้นบ่อยๆ: การขมิบก้นบ่อยๆ ช่วยป้องกันริดสีดวงทวาร และท้องผูก
11. เคลื่อนไหวทุกข้อ: การอยู่นิ่งๆ หรืออยู่ในท่าใดท่าหนึ่งนานเกินไป ทำให้เกิดโรคได้ง่าย ควรเคลื่อน ไหวข้อต่างๆ ให้ครบทุกข้อทุกวัน ฝึกฝนการใช้กล้ามเนื้อและข้อให้สมดุล เช่น การฝึกชี่กง ไท ้เก้ก โยคะ ฯลฯ
12. ถูผิวหนังบ่อยๆ: ใช้ฝ่ามือถูตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย คล้ายกับการถูตัวเวลาอาบน้ำ มีส่วนช่วยให้ เลือดและพลังไหลเวียนดี
เรียนเชิญท่านผู้อ่านลองนำไปปฏิบัติดู เพื่อสุขภาพ พลัง และลมปราณที่ดีไป นานๆ ครับ...

ท่านอาจารย์นายแพทย์ภาสกิจ(วิทวัส) วัณนาวิบูล อาจารย์แพทย์ผู้เชี่ยวชาญแพทย์ แผนจีนแนะนำเคล็ดลับการดูแลสุขภาพ ตามศาสตร์แพทย์แผนจีนว่า อาหาร 10 อย่างที่ไม่ควรกินมากเกิน นำแนวคิดศาสตร์แพทย์แผนจีนมาวิเคราะห์โดย ใช้หลักแพทย์แผนปัจจุบันประกอบ...



อาหารที่ไม่ควรกินมากเกิน หรือบ่อยเกินได้แก่...
1. ไข่เยี่ยวม้า: ไข่เยี่ยวม้ามีตะกั่วค่อนข้างสูง ตะกั่วทำให้การดูดซึมแคลเซียมน้อยลงกินบ่อยๆ จะเสี่ยงโรคกระดูกโปร่งบาง และอาจได้รับพิษตะกั่วเช่น สมองเสื่อม เป็นหมัน ฯลฯ

2. ปาท่องโก๋: กระบวนการทำปาท่องโก๋มีการใช้สารส้ม ซึ่งมีตะกั่วปน เปื้อน ตะกั่วทำให้ไตทำงานหนักในการขับสารนี้ออกไป นอกจากนั้นยังทำให้คอแห้ง เจ็บคอง่าย โดยเฉพาะคนที่เป็นโรคร้อนในได้ง่าย

3. เนื้อย่าง: กระบวนการรมไฟ ย่างไฟทำให้เกิดสารเบนโซไพรีน ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง
4. ผักดอง: ผักดอง และของหมักเกลือทำให้ร่างกายได้รับเกลือโซเดียมสูง ถ้ากินบ่อยเกิน หรือมากเกินจะทำให้หัวใจทำงานหนัก เกิดความดันเลือดสูงและโรคหัวใจได้ง่าย นอกจากนั้นกระบวนการหมักดองยังทำให้เกิดสารแอมโมเนียมไนไตรด์ ซึ่งเป็นสาร ก่อมะเร็ง
5. ตับหมู: ตับหมูมีโคเลสเตอรอลสูง การกินตับหมูบ่อยเกิน หรือมากเกินทำให้เสี่ยงต่อโรคหัวใจ เส้นเลือดสมอง (อัมพฤกษ์-อัมพาต) และโรคมะเร็งเพิ่มขึ้น
6. ผักขม ปวยเล้ง: ผักขมและปวยเล้งมีสารอาหารสูง ทว่า... มีกรดออกซาเลตมาก ทำให้เกิดการขับสังกะสีและแคลเซียมออกจากร่างกายมาก การกินบ่อยเกิน หรือมากเกินอาจทำให้เกิดภาวะขาดแคลเซียม หรือสังกะสีได้
7. บะหมี่สำเร็จรูป: บะหมี่สำเร็จรูปมีสารกัดบูด สารแต่งรสค่อนข้างสูง และมีคุณค่าทางอาหารต่ำ การกินบะหมี่สำเร็จรูปมากเกิน หรือบ่อยเกินอาจทำให้เสี่ยงต่อโรคขาดอาหารและการสะสมสารพิษได้

เตือนเยาวชนใช้มือถือเข้าเน็ต อย่าให้ข้อมูลส่วนตัว

เตือนเยาวชนใช้มือถือเข้าเน็ต อย่าให้ข้อมูลส่วนตัว
Thu, 2010-01-07 18:59

นายประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา ผู้อำนวยการสถาบันคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม (สบท.) ภายใต้สำนักงานคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เปิดเผยว่า



ประเด็นที่น่าห่วงใยสำหรับเด็กและเยาวชนในการใช้บริการโทรคมนาคม และควรระมัดระวังก็คือ การให้ข้อมูลส่วนบุคคล เนื่องจากขณะนี้ในเว็บไซต์หลายแห่งมีการกระตุ้นให้กรอกเลขหมายโทรศัพท์ โดยใช้เทคนิคต่างๆ เช่น ทดสอบดวงคุณวันนี้ ทดสอบไอคิว ทดสอบว่าคุณฉลาดแค่ไหน เมื่อทดสอบแล้วสุดท้ายหากอยากทราบผลให้กรอกเลขหมายโทรศัพท์ แต่พบว่าเมื่อกรอกกลับเป็นการสมัครใช้บริการสินค้า





“เมื่อเข้าไปใช้บริการในเว็บต่างๆ แล้วมีช่องให้กรอกเลขหมายโทรศัพท์ อย่าคิดว่าเป็นแค่การร่วมเล่นเกม เพราะพวกนี้จะมีผล เนื่องจากเราไม่ทราบที่มาที่ไป และพบว่า ผู้ใช้บริการหลายคนที่กรอกเลขหมายโทรศัพท์ไปแล้วกลายเป็นการสมัครใช้บริการสินค้า หรือมีโทรศัพท์มาขายของ หรือถ้าอย่างแรงก็คือ การนำเลขหมายโทรศัพท์ของเราไปหลอกคนอื่นต่อ เมื่อทำอะไรไม่ถูกต้องก็จะทำให้เราติดเข้าร่างแหไปด้วย” ผอ.สบท. กล่าวเตือน

นอกจากนี้การใช้บริการโทรศัพท์มือถือยังต้องศึกษาเรื่องค่าบริการ และระบบเทคโนโลยีของเครื่องโทรศัพท์ที่ใช้ จะได้ไม่เกิดปัญหาตามมา โดยเฉพาะผู้ปกครองที่ซื้อโทรศัพท์มือถือให้บุตรหลานใช้ควรให้คำแนะนำในเรื่องการใช้บริการด้วย และในกรณีเปลี่ยนเงื่อนไขการใช้งานหรือมีการใช้งานลักษณะพิเศษเพิ่มเติม ควรมีการสอบถามข้อมูลจากศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ให้ละเอียดและชัดเจน





“มีกรณีของลูกเดินทางไปเยี่ยมพ่อที่ต่างประเทศ แล้วลูกนำโทรศัพท์มือถือไปใช้ด้วย พอกลับมาเมืองไทยปรากฏว่า ถูกคิดค่าบริการไปถึง 250,000 บาท เนื่องจากค่าบริการข้ามแดนอัตโนมัติจะแพงกว่าค่าบริการในประเทศอย่างมาก อีกทั้งแค่รับสายก็เสียเงิน หรือแม้ไม่รับสายมีสายโทรเข้าก็เสียเงินเช่นกัน ที่สำคัญคือ ในผู้ให้บริการบางรายจะไม่มีการจำกัดวงเงิน หรือระบบเครดิตลิมิตสำหรับการใช้บริการในต่างประเทศ ผู้ใช้บริการจึงต้องตรวจสอบเรื่องนี้ให้ดี หรือสอบถามถึงโปรโมชั่นที่เหมาะสม อย่างบางบริษัทมีโปรโมชั่นไปญี่ปุ่น คิดค่าโทรอัตราถูก เป็นต้น” ผอ.สบท.กล่าว





นายประวิทย์กล่าวอีกว่า สำหรับกรณีของเทคโนโลยี ซึ่งเด็กและเยาวชนมักจะชอบเทคโนโลยีใหม่ๆ ผู้ปกครองควรศึกษาและให้คำแนะนำบุตรหลานเมื่อซื้อมาแล้วต้องทราบว่าตรงไหนจะเป็นช่องโหว่หรือเป็นจุดที่ถ้าไม่ระมัดระวังแล้วจะทำให้ผู้ใช้บริการเดือดร้อน หากรักจะใช้เทคโนโลยียุคใหม่ต้องเท่าทันด้วย ไม่ว่าจะเป็นตัว ฮาร์ดแวร์หรือซอฟแวร์ ทั้งหลาย เพราะซอฟแวร์บางตัวก็ส่งผลให้เสียค่าบริการอัตโนมัติ ขณะที่ฮาร์ดแวร์บางตัวถ้าไม่มีระบบป้องกันก็อาจเปิดช่องให้ถูกล้วงข้อมูลส่วนตัวได้ด้วย



http://www.prachatai.com/journal/2010/01/27250

เลือกของใส่บาตรตามวันเกิด

วันอาทิตย์
อาหารคาว : ประเภทไข่ ดาว เจียว ผัด ลูกเขย ลูกสะใภ้ ต้ม แกงกะทิ
อาหารหวาน : ไข่หวาน มะพร้าวอ่อน มะพร้าวแก้ว ขนมใส่กะทิ น้ำกระเจี๊ยบ น้ำมะพร้าว น้ำขิง เงาะ
ของถวายพระ : หลอดไฟ ไฟฉาย เทียน ธูป อุปกรณ์แสงสว่าง แว่นตา หมากพลู
ไหว้พระ : ปางถวายเนตร (พระประจำวันเกิด) กำลังวันเท่ากับ 6 (สวดแบบย่อ อะ วิช สุ นุส สา นุต ติ)
ทำทาน : เติมน้ำมันตะเกียงตามวัด คนตาบอด โรงพยาบาลโรคตา มูลนิธิคนตาบอด โรงพยาบาล โรคหัวใจ มูลนิธิโรคหัวใจ
พฤติกรรม : ออกรับแสงอาทิตย์อ่อนๆ ช่วงเช้าหรือเย็นๆ เพื่อให้เกิดพลัง อย่าใจร้อน เลิกทิฐิ ทำตัวเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น

วันจันทร์
อาหารคาว : ประเภทสัตว์ปีก สัตว์น้ำ เช่นไก่ผัดขิง ไก่ย่าง ไก่ทอดปูผัดผงกะหรี่ ปูนึ่ง ข้าวมันไก่ ข้าวผัดปู เต้าหูทอด แกงจืดเต้าหู้ แกงเผ็ดเป็ดย่าง ปลาสลิดทอด
อาหารหวาน : น้ำเต้าหู้ นมถั่วเหลือง น้ำอ้อย โดนัท นมสด นมกล่อง เผือก มัน ลางสาด ขนมเปี๊ยะ
ของถวายพระ : แก้วน้ำ แจกัน ของโปร่งๆ ใสๆ
ไหว้พระ : ปางห้ามญาติ (พระประจำวันเกิด) กำลังวัน เท่ากับ 15 (สวดแบบย่อ อิ ระ ชา คะ ตะ ระ สา)
ทำทาน : มูลนิธิช่วยเหลือสตรี
พฤติกรรม : ทำจิตใจให้สดชื่น แจ่มใส อยู่เสมอ อย่าวิตกกังวลเกินเหตุ ให้ความช่วยเหลือสตรีเช่นลุก ให้สตรีนั่งบนรถเมล์บริหารกล้ามเนื้อหน้าอกให้แข็งแรง

วันอังคาร
อาหารคาว : อาหารประเภทเส้น ขนมจีน วุ้นเส้น บะหมี่ ก๋วยเตี๋ยว เนื้อวัว ปลาช่อนตากแห้งทอด
อาหารหวาน : ฝอยทอง สลิ่ม ลอดช่อง ทุเรียน ระกำ ขนุน น้ำสไปร์ท น้ำอัดลม
ของถวายพระ : เหล็ก เครื่องมือประเภทเหล็ก กรรไกร แปรงสีฟัน ยาสีฟัน พัดลม กรรไกรตัดเล็บ
ไหว้พระ :ปางไสยาสน์ (พระนอน) มีกำลังเท่ากับ 8 (สวดแบบย่อ ติ หัง จะ โต โร ถิ นัง)
ทำทาน : คนพิการทางปาก ปากแหว่ง ผู้ป่วยโรคลมชัก
พฤติกรรม : ทำตัวให้กระฉับกระเฉง ตื่นตัว ขยันให้มากขึ้น ลดอารมณ์ร้อน การชิงดีชิงเด่น

วันพุธ (กลางวัน)
อาหารคาว : เน้นสีเขียว หมู แกงเขียวหวานหมู หมูปิ้ง หมูทอด ผัดพริกหมู ฯ คะน้าน้ำมันหอย กุนเชียง
อาหารหวาน : ขนมเปียกปูนเขียว น้ำฝรั่ง ชมพู่เขียว องุ่นเขียว มะม่วงเขียวเสวย ฝรั่ง ชามะนาว
ของถวายพระ : สมุด กระดาษ ปากกา ดินสอ อุปกรณ์การเรียนการศึกษา
ไหว้พระ : ปางอุ้มบาตร (พระประจำวันเกิด) มีกำลังเท่ากับ 17 (สวดแบบย่อปิ สัม ระ โล ปุ สัต พุท )
ทำทาน : คนพิการทางหู โรงพยาบาลโรคสมอง โรงเรียนสอนคนหูหนวก
พฤติกรรม : อ่านหนังสือธรรมะ ร้องเพลง ฝึกสร้างความมั่นใจให้ตนเอง

วันพุธ (กลางคืน)
อาหารคาว : ของหมักดอง ผักกาดดองผัดไข่ อาหารกระป๋อง แกงใบยอ หมูยอ แหนม ไข่เยี่ยวม้า ห่อหมก
อาหารหวาน : ข้าวหมาก ขนมเปียกปูนดำ เฉาก๊วย ข้าวเหนียวดำ เม็ดมะม่วงหิมพานต์ ผลไม้หัวโตๆ ทุเรียน
ของถวายพระ : พัดลม เทปธรรมะ ยาแก้โรคลม ยาหอม
ไหว้พระ : ปางป่าเลไลย์ (พระประจำวันเกิด) มีกำลังเท่ากับ 12 (สวดแบบย่อ คะ พุท ปัน ทู ธัม วะ คะ)
ทำทาน : มูลนิธิหรือหน่วยงานที่เกี่ยวกับยาเสพติด
พฤติกรรม : เลิกบุหรี่ เลิกดื่มหรือลดปริมาณการดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด เลิกการพนัน เลิกทำตัวเหลวไหล เลิกเที่ยวกลางคืน เลิกยาเสพติดทุกชนิด

วันพฤหัสบดี
อาหารคาว : ประเภทเถา แกงเลียง บวบผัดไข่ น้ำเต้า
อาหารหวาน : แตงโม แตงไทย น้ำสมุนไพร ส้ม สาลี่ น้ำมะตูม น้ำว่านหางจระเข้
ของถวายพระ : สบง จีวร หนังสือธรรมะ ตู้ยา โต๊ะหมู่บูชา
ไหว้พระ : ปางสมาธิ (พระประจำวันเกิด) มีกำลังเท่ากับ ๑๙ (สวดแบบย่อ ภะ สัม สัม วิ สะ เท ภะ)
ทำทาน : โรงพยาบาลสงฆ์ บริจาคข้าวสาร เสื้อผ้า ผ้าห่มกันหนาว
พฤติกรรม : นั่งสมาธิ สวดมนต์ ถือศีล๕ อย่าซื่อจนเกินไป

วันศุกร์
อาหารคาว : ประเภทของหอม หวาน ข้าวหอมมะลิ ผักกาดหอม ไข่เจียวหอมใหญ่ ยำหัวหอม
อาหารหวาน : ขนมหวาน หอมทุกชนิด น้ำเก๊กฮวย ผลไม้ที่มีกลิ่นหอม กล้วยหอม เค้ก
ของถวายพระ : นาฬิกา โต๊ะรับแขก ดอกไม้สวยหอม ระฆัง ย่าม
ไหว้พระ : ปางรำพึง (พระประจำวันเกิด) มีกำลังเท่ากับ 21 (สวดแบบย่อ วา โธ โน อะ มะ มะ วา)
ทำทาน : เด็กด้อยโอกาส ให้เงิน ให้เสื้อผ้า อาหารที่หอมหวานชวนกิน เช่น ไอศกรีม
พฤติกรรม : ทำตัวให้สดชื่นแจ่มใส บำรุง ดูแลตัวเองให้ดูดีอยู่ตลอด จัดสิ่งแวดล้อมให้น่าอยู่ สวยงาม เลิกการฟุ่มเฟือย

วันเสาร์
อาหารคาว : ประเภทของขม ของดำมะระยัดไส้ สะเดาน้ำปลาหวาน น้ำพริกปลาทู มะเขือยาว
อาหารหวาน : ลูกตาลเชื่อม กาแฟ โอเลี้ยง
ของถวายพระ : ร่มสีดำ กระเบื้องมุงหลังคา ไม้กวาด สร้างห้องน้ำถวายวัด
ไหว้พระ : ปางนาคปรก (พระประจำวันเกิด) มีกำลังเท่ากับ 10 (สวดแบบย่อ โส มา ณะ กะ ระ ถา โธ)
ทำทาน : โรงพยาบาลโรคจิต โรงพยาบาลโรคประสาท
พฤติกรรม : กวาดลานวัด ล้างห้องน้ำวัด ไม่เครียด มองโลกในแง่ดี ขยะในบ้านยกทิ้งทุกวัน อย่าหมักหมม

ข้อมูลจาก Forward Mail

ความหมายของการปล่อยสัตว์ในปัจจุบันจะได้บาปหรือได้บุญ???

อ่านแล้วบอกต่อเพื่อเพื่อนร่วมโลกค้าบ..

1 ชีวิตก็มีค่า ทุกชีวิตมีความสำคัญ เรามาร่วมกันเผยแพร่และช่วยทำความเข้าใจในการทำบุญที่เราไม่เข้าใจถึงผลที่เราจะได้รับ เพราะบุญที่เรากำลังจะทำนั้นมันเป็นชีวิตของผู้อื่นที่จะได้รับความทุกขเวทนา เพื่อแลกกับความสุขใขของเราเอง

Top 5 ของสัตว์ที่นิยมปล่อย
อันดับที่ 1 ปลาไหล
อันดับที่ 2 หอยขม
อันดับที่ 3 นก
อันดับที่ 4 เต๋า
อันดับที่ 5 ปลาหมอ

ความหมายของการปล่อยสัตว์

ปลาไหล หมายถึง การเงิน การงาน การเรียนจะราบรื่น

ปลาหมอ หมายถึง เพื่อสุขภาพ

ปลาบู่ หมายถึง ทดแทนผู้มีพระคุณ

ปลาดุก หมายถึง ศัตรูคู่แข่งแพ้พ่าย

ปลานิล หมายถึง ทรัพย์สินเพิ่มพูน

ปลาช่อน หมายถึง ช้อนเงินทอง สิ่งที่ซ่อนเร้นจะได้พบ

ปลาทับทิม หมายถึง ทำอะไรราบรื่น

ปลาสวาย หมายถึง เงินทองคล่องตัว

ปลาขาว หมายถึง ปลานำโชค

ปลาจารเม็ด หมายถึง จะได้เงินเต็มเม็ดเต็มหน่วย

ปลาใน หมายถึง ได้เป็นเจ้าคนนายคน

ปลาดุกเผือก หมายถึง ปลามงคล

ปลาดำราหู หมายถึง สะเดาะเคราะห์

ปล่อยกบ หมายถึง ขออุทิศให้แก่เจ้ากรรมนายเวร

หอยขม หมายถึง ทิ้งความขมขื่น จะร่มเย็นเป็นสุข

หอยโข่ง หมายถึง หนทางโล่งเป็นผู้นำ ข้าทาสบริวารมาก

ตะพาบ หมายถึง ภัยคุกคามต่างๆจะราบ อัมพาตจะดีขึ้น อายุมั่นขวัญยืน

สำหรับผู้ที่เกิดแต่ละวัน มีเคล็ดในการทำบุญต่าง ๆ กันไป ดังนี้

บุคคลใดที่เข้าสู่เบญจเพท อายุลงท้ายเลข 5 ,9 เช่น 25 29 35 39 45 49 55 59 เป็นต้น

คนเกิดวันอาทิตย์ ให้ปล่อยปลาไหล

คนเกิดวันจันทร์ ให้ปล่อยนก

คนเกิดวันอังคาร ให้ปล่อยหอยขม

คนเกิดวันพุธ ให้ปล่อยปลาไหล

คนเกิดวันพฤหัส ให้ปล่อยเต่า

คนเกิดวันศุกร์ ให้ปล่อยปลาหมอ

คนเกิดวันเสาร์ ให้ปล่อยปลาไหล

จำนวนสัตว์ที่ปล่อย ถ้ามีกำลังทรัพย์ ก็ให้มากกว่าอายุ สำหรับคนที่มีรายได้น้อยไม่สะดวกเรื่องเงิน ให้ถือเลขอายุลงท้ายเลขคู่ ให้ปล่อยสัตว์จำนวนเลขคี่ อายุลงท้ายเลขคี่ ให้ปล่อยสัตว์จำนวนเลขคู่

อายุ 24 ปล่อยสัตว์จำนวน เลขคี่ 1 3 5 7 9 ...ฯลฯ

อายุ 25 ปล่อยสัตว์จำนวน เลขคู่ 2 4 6 8 10 12 14 ... ฯลฯ

บางเสี้ยวส่วนของความจริงที่ 'จุดเปลี่ยน' พบ

- ปลาไหลขนาดเล็กตัวเป็นๆ นับพับกิโลกรัมต่อวัน ถูกเบียดอัดมาในกระสอบปุ๋ยเดินทางจากเขมรสู่ประเทศไทยหลายต่อหลายทอด โดยมีเงื่อนไขว่าจะต้องมีชีวิตไปจนถึงมือคนใจบุญ

- ปลาไหลที่ปล่อยลงในน้ำลึกไหลเชี่ยว ไม่สามารถรอดชีวิตอยู่ได้ เพราะธรรมชาติของปลาไหลต้องอยู่ในน้ำแฉะมีดินโคลนให้มุดเพื่อหลบพัก

- หอยขมที่อยู่ในดินโคลนตามธรรมชาติ เมื่อถูกเทลงสู่ก้นแม่น้ำลึกอย่างแม่น้ำเจ้าพระยา หอยก็จมน้ำตายได้เหมือนกัน

- นกกระติ๊ดจะสูญพันธุ์ในไม่ช้า เพราะคนจับมาเบียดเสียดในกรงแคบ บางตัวแข้งขาหักตายคากรง ส่วนที่เหลือซึ่งบินจากไปก็บอบช้ำเกินกว่าจะรอดชีวิต และบ้างก็ไม่มีแหล่งหากินในเมือง

- เต่าเป็นสัตว์เลื้อยคลาน แต่คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าเป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ และเมื่อถูกปล่อยลงน้ำที่ไม่มีสิ่งใดให้ยึดเกาะ เต่าก็จะต้องว่ายน้ำต่อไปจนกว่าจะขาดใจตายเพราะเหนื่อยและหมดแรง

- เต่าเป็นสัตว์ที่อายุยืนที่สุดในโลก แต่ถ้าเต่าถูกปล่อยในที่ที่แออัดน้ำเน่าเสียไม่มีที่เกาะ เต่าจะตายอย่างทรมานเพราะอาการเจ็บป่วยที่กระดองเน่าเปื่อย และจมน้ำตาย กลายเป็นสัตว์ที่น่าสงสารที่สุดในโลกชนิดหนึ่ง

ทำไมการปล่อยสัตว์ในยุคสมัยนี้จึงมีบาปมากกว่าบุญ
1. เพราะปล่อยไม่ถูกที่ถูกทาง ทั้งสภาพความเป็นอยู่และศัตรูธรรมชาติ ทำให้สัตว์ที่ปล่อยไปไม่มีโอกาสรอดชีวิต
2. เพราะส่งเสริมให้มีการจับสัตว์ที่อยู่ในธรรมชาติอย่างปกติสุขมากักขังหน่วงเหนี่ยว ทรมาน
3. ในทุกขั้นตอนตั้งแต่การจับ กักขัง ขนส่ง และรอจำหน่าย มีสัตว์จำนวนมากต้องตายอย่างทรมานก่อนที่จะได้รับอิสรภาพ
สิ่งมีชีวิตแม้จะเล็กเท่าผุ่นละออง แต่นั่น มันก็เท่ากับ 1 ชีวิต...

ช่วยกัน FW .. สงสารเพื่อนร่วมโลก จาก เว็บพันทิป ห้องศาสนา

30 สิ่งควรทำตอนยังมีชีวิต

• 1. ทำอะไรที่น่าตื่นเต้นในแต่ละวัน
• 2. ไปเที่ยวที่ที่คุณไม่เคยไป กับคนที่คุณไม่เคยคิดจะลืม
• 3. ซื้อความสุข ด้วยรอยยิ้ม
• 4. คุยกับคนแปลกหน้า เพื่อหาเพื่อนใหม่

• 5. ช่วยคนอื่น เมื่อคุณสามารถช่วยได้
• 6. สังเกตสิ่งรอบๆตัว อาจพบความสุขเล็กๆ เข้ามาในชีวิต
• 7. อยู่เงียบๆ กับตัวเองวันละ 5 นาที... เพื่อคิด
• 8. ทุ่มตัวเองเต็มที่ กับการหาทางแก้ปัญหา ที่คุณกำลังเผชิญอยู่

• 9. คบคนที่มองโลกในแง่ดี
• 10. เข้าคอร์สเรียนเพิ่มเติม ในเรื่องที่คุณสนใจ
• 11. จัดเวลา นัดเจอ เพื่อนสนิท ในแต่ละเดือน ไป กิน เที่ยว เล่น
• 12. มองพระอาทิตย์ขึ้น สัปดาห์ละครั้ง

• 13. ดูพระอาทิตย์ตกดิน สัปดาห์ละครั้ง
• 14. ปลูกผักเอง เอาไว้ทานเอง
• 15. ไปหาเพื่อน ที่ไม่ได้เจอกันมานานนับปี
• 16. หยุดตามกระแสสักนิด และทำตามแนวคิดที่เหมาะสำหรับตัวเอง

• 17. บอกตัวเองว่า ไม่มีอะไรสายเกินไป
• 18. ค้นหา ประสบการณ์ดีๆ แปลกใหม่ ให้กับชีวิต
• 19. เลิกกังวลกับสิ่งที่คุณไม่มี และมีความสุขในสิ่งที่คุณมี
• 20. โรแมนติก ทำเซอร์ไพรซ์คนที่คุณรัก

• 21. หยุดเสียเวลา กับเรื่องหยุมหยิมที่ไม่จำเป็น
• 22. รับประทานอาหารให้ช้าลง ลิ้มรสความอร่อย
• 23. ขอความช่วยเหลือ เมื่อต้องการ เพราะคุณจะไม่ได้รับความช่วยเหลือ หากไม่เอ่ยปาก
• 24. ถามคำถาม เมื่อสงสัย... ช่วยประหยัดเวลา และลดความยุ่งยากใจ

• 25. เล่นสนุกบ้าง ชีวิตมีแค่ครั้งเดียว
• 26. ทำอะไรทีละอย่าง จะได้ทำออกมาได้ดี
• 27. ฝึกความพอเพียง – พอดี เมื่อมันเกิดขึ้นกับคุณ จะไม่มีใคร เอาไปจากคุณได้
• 28. รักษาสัญญา

• 29. ดูตลก ฟังเรื่องตลก และแบ่งปันกับคนอื่น
• 30. เปิดโลกความคิดสร้างสรรค์ของคุณ กับงานศิลปะ เช่นดนตรี ภาพถ่าย ภาพยนตร์ ฯลฯ

สุดยอดเรื่องเล่า

ชายจีนคนหนึ่งแบกถังน้ำสองใบไว้บนบ่า
เพื่อไปตักน้ำที่ริมลำธาร
ถังน้ำใบหนึ่งมีรอยแตก
ในขณะที่อีกใบหนึ่งไร้รอยตำหนิ
และสามารถบรรจุน้ำกลับมาได้เต็มถัง
แต่ด้วยระยะทางอันยาวไกล
จากลำธารกลับสู่บ้าน
จึงทำให้น้ำที่อยู่ในถังใบที่มีรอยแตก
เหลืออยู่เพียงครึ่งเดียว



เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ดำเนินมาเป็นเวลา 2 ปีเต็ม
ที่คนตักน้ำสามารถตักน้ำกลับมาบ้านได้หนึ่งถังครึ่ง
ซึ่งแน่นอนว่า ถังน้ำใบที่ไม่มีตำหนิ
จะรู้สึกภาคภูมิใจในผลงานเป็นอย่างยิ่ง
ในขณะเดียวกันถังน้ำที่มีรอยแตกก็รู้สึก
อับอายต่อความบกพร่องของตัวเอง
มันรู้สึกโศกเศร้า
กับการที่มันสามารถทำหน้าที่ได้เพียงครึ่งเดียว
ของจุดประสงค์ที่มันถูกสร้างขึ้นมา



หลังจากเวลา 2 ปี ที่ถังน้ำที่มีรอยแตกมองว่า
เป็นความล้มเหลวอันขมขื่น
วันหนึ่งที่ข้างลำธาร มันได้พูดกับคนตักน้ำว่า
'ข้ารู้สึกอับอายตัวเอง
เป็นเพราะรอยแตกที่ด้านข้างของตัวข้า
ทำให้น้ำที่อยู่ข้างในไหลออกมา
ตลอดเส้นทางที่กลับไปยังบ้านของท่าน'



คนตักน้ำตอบว่า 'เจ้าเคยสังเกตหรือไม่ว่า
มีดอกไม้เบ่งบานอยู่ตลอดเส้นทางในด้านของเจ้า
แต่กลับไม่มีดอกไม้อยู่เลยในอีกด้านหนึ่ง




เพราะข้ารู้ว่า เจ้ามีรอยแตกอยู่
ข้าจึงได้หว่านเมล็ดพันธุ์ดอกไม้
ลงข้างทางเดินด้านของเจ้า
และทุกวันที่เราเดินกลับ ...
เจ้าก็เป็นผู้รดน้ำให้กับเมล็ดพันธุ์เหล่านั้น
เป็นเวลา 2 ปี ที่ข้าสามารถที่จะเก็บดอกไม้สวย ๆ เหล่านั้น
กลับมาแต่งโต๊ะกินข้าว
ถ้าหากปราศจากเจ้าที่เป็นเจ้าแบบนี้แล้ว ...
เราก็คงไม่อาจได้รับความสวยงามแบบนี้ได้'


คนเราแต่ละคนย่อมมีข้อบกพร่อง
ที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง
แต่รอยตำหนิและข้อบกพร่องที่เราแต่ละคนมีนั้น
อาจช่วยทำให้การอยู่ร่วมกันของเราน่าสนใจ
และกลายเป็นบำเหน็จรางวัลของชีวิตได้
สิ่งที่ต้องทำก็เพียงแค่ยอมรับ
คนแต่ละคนในแบบที่เขาเป็น
และมองหาสิ่งที่ดีที่สุด
ในตัวของพวกเขาเหล่านั้นเท่านั้นเอง


มองโลกหลายๆ ด้าน
เพราะคนเราไม่ได้มีแต่ข้อเสียเท่านั้น

ยายของศรีธนญชัย

หญิงชรานางหนึ่งถือถุงใบเขื่องเดินเข้าไปในธนาคาร
และกล่าวกับพนักงานที่เคาน์เตอร์ ว่าต้องการ
ฝากเงินสามล้านบาทแต่ขอคุยกับผู้จัดการโดยตรง
พนักงานเห็นว่าหญิงชรามีเงินจำนวนมาก เลยพาไปห้องผู้จัดการเมื่อไปถึง
ผู้จัดการเกิดความสงสัยว่า
หญิงชราไปเอาเงินมาจากไหนเลยถามขึ้นว่า

ผู้จัดการ - คุณยายเอาเงิน มาจากไหนมากมายครับ?

คุณยาย - ยายชนะพนันมาจ้ะ

ผู้จัดการ - ยายไปพนันอะไรมาเหรอครับ?

คุณยาย - ก็ไม่มีอะไรมากหรอกพ่อหนุ่ม....อยากรู้ใช่ไหม?
เรามาลองพนันกันก็ได้สักแสนนึง เอาไหมล่ะ? ว่าก่อนเก้าโมงเช้าวันพรุ่งนี้ไข่ของพ่อหนุ่ม จะกลายเป็นสี่เหลี่ยม

ผู้จัดการ - ฮ่าฮ่าฮ้า ล้อเล่นน่า จะพนันกันจริงๆเหรอ?

คุณยาย - จริงๆซิ ยายมีเงินไม่เห็นเหรอนี่ไงตั้งสามล้าน คุณยายเปิดถุงเงินให้ผู้จัดการดู
ผู้จัดการ เห็นว่าไม่มีทางเป็นไปได้ที่ไข่ของตนจะกลาย เป็นสี่เหลี่ยมเลย
ตอบตกลงรับคำท้าและนัดแนะกันว่าพรุ่งนี้เช้าเก้าโมง จะมาพบกันอีกที
ตลอดวันนั้นผู้จัดการไม่เป็นอันทำงานเฝ้าแต่คอยคลำไข่่ตัวเองว่ายังกลมๆ รีๆ
อยู่เหมือนเดิมหรือเปล่า รุ่งเช้าตื่นขึ้นมาผู้จัดการก็ไม่ลืมที่จะ
ตรวจสอบลูกน้อยทั้งสองใบว่ายังกลมอยู่เหมือนเดิมจริง ๆ
เมื่อคลำดูแล้วก็ยังกลมๆดีอยู่ ผู้จัดการเลยรู้สึก
กระหยิ่มใจว่าวันนี้รวยแน่

เวลาเก้าโมงตรงหญิงชรามาที่ธนาคารและตรงไปที่ห้องผู้ จัดการทันทีพร้อมกับชายอีกคน

ผู้จัดการ - สวัสดีครับคุณยาย อ้าว...พาใครมาด้วยละนี่?

คุณยาย - อ๋อ…ทนายน่ะ ยายเห็นเงินพนันมันมากเลยพาทนายมาด้วย

ผู้จัดการ - ฮุฮุ…คุณยายผมเสียใจด้วยนะค ุณยายแพ้พนันผมแล้วหละไข่ ผมยังกลมอยู่เลยนี่ไง
ว่าแล้วผู้จัดการก็จัดแจงปลดกางเกงลงและเรียกให้หญิง ชรามาตรวจสอบน้องชายได้

หญิงชราจึงเดินเข้าไปแล้วก็ลูบๆคลำๆไข่ผู้จัดการอยู่ สักพักแล้วพูดขึ้นว่า

คุณยาย - อืมมมม ยังกลมอยู่จริงๆ ยายยอมแพ้แล้ว

ขณะที่คุณยายกำลังคลำไข่ผู้จัดการอยู่นั้น...
ผู้จัดการ เหลือบไปเห็นทนายที่มากับหญิงชรากำลังเอาหั วโขกกำแพงอย่างแรงติดๆ
กันหลายครั้ง เลยถามคุณยายว่า

ผู้จัดการ - ยายๆ ทนายของยายเขาเป็นอะไรเหรอ?

คุณยาย - อ๋อ… เขาแพ้พนันยายน่ะ
ยายบอกเขาว่า ภายในเที่ยงวันนี้ยายจะได้คลำไข่ผู้จัดการแบ็งค์ใน office ของผู้จัดการเองเลย
ทนายเขาไม่เชื่อ เราเลยพนันกันสองแสน....อิอิอิ..................

5 5 5 5
... กำไรเห็น ๆ ....







พระพุทธรูปใหญ่ที่สุดในโลก วัดม่วง อ.วิเศษชัยชาญ จ.อ่างทอง


หลังจากพระพุทธรูปที่ตาลีบัน ถูกทำลายลงไป ความโด่งดัง ความยิ่งใหญ่ในงานศิลปะพระพุทธรูปก็ดูจะถูกบันทอน
เราไม่เคยได้ยินงานบุญใดๆที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธรูปขนาดใหญ่สักเท่าไร

แต่ไม่น่าเชื่อว่า 25 ปีที่แล้ว หลวงพ่อเกษม อาจารสุโภ อดีตเจ้าอาวาสวัดม่วง ต.หัวตะพาน อ.วิเศษชัยชาญ จ.อ่างทอง
ได้คิดและตั้งมั่นที่จะสร้างพระพุทธรูปองค์ใหญ่หน้าตัก 1 ไร่ 9 ตรางวา ใครจะไปเชื่อ

พร้อมๆกับ การก่อสร้างวัด ก็คือ
การสร้างพระพุทธมหานวมินทรศากยมุนีศรีวิเศษชัยชาญ
หลังจากสร้างตั้งแต่ปี 2526 จนถึงปี 2544 ใช้เงินไป 50 ล้านบาท
แต่ก็ยังทำได้แค่ครึ่งองค์ เนื่องจากหลวงพ่อเกษม ได้มรณะภาพไป งานก็มาสะดุดลง ทิ้งโครงสร้างเอาไว้

แม้นเวลาจะเดินทางรวดเร็ว จนหลวงพ่อมรณะภาพไปแล้วก็ตาม
แต่บุญครั้งนี้ได้ถูกสานต่อและสร้างจนแล้วเสร็จ งดงามอย่างหาที่ติมิได้

วัดหัวตะพาน จากเคยเป็นวัดร้างไป ตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนปลาย
พอกรุงแตกก็ถูกทิ้งรกร้าง แต่ก็มีพระ คือหลวงพ่อเกษม เดินทางมาบูรณะ และสร้างงานศิลปะให้พระพุทธศาสนา

เริ่มจาก โบสถ์ที่มีดองบัวโอบอุ้มใหญ่ที่สุดในโลก
วิหารเงิน(ที่ประดับด้วยกระจกสะท้อนทั้งหลัง
สวนนรกภูมิ
ที่สอนเตือนจิตใจให้กับประชาชนที่เดินทางมาทำบุญไม่ให้ประมาทในการดำเนินชีวิต
และงานชิ้นสำคัญที่เริ่มทำพระพุทธมหานวมินทรศากยมุนีศรีวิเศษชัยชาญ

งานศิลปะปูนปั้นใหญ่ที่สุดในโลก ปางมารวิชัย โดยมีหน้าตักกว้างถึง 67 เมตร(เข่าซ้ายถึงเข่าขวา) และสูงถึง 92 เมตร
สร้างนานถึง 25 ปีเต็ม เพื่อถวายเป็นพุทธบูชาให้กับสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
องค์อุปถัมป์พุทธศาสนา

และต่อมาทางกรมราชองค์รักษ์ โดยพล.อ ณพล บุญทับ ได้เป็นเจ้าภาพ
ตั้งกองทุนเพื่อสานต่อความตั้งใจเดิมของหลวงพ่อเกษมระดมเงินสร้างต่อ จนถึง 105 ล้านบาท
เพื่อจะถวายเนื่องในวโรกาส 80 พรรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ในปลายปี การก่อสร้างได้สำเร็จลุร่วมถึง 90 เปอร์เซนต์ เหลือแต่ปูหินอ่อน ด้านฐาน และ เรื่อนรับเสด็จ

พระพุทะมหานวมินทรฯ ถือเป็นสัญลักษณ์ในศาสนาพุทธ ที่ยิ่งใหญ่ และสวยงามที่สุดในโลกก็ว่าได้
หากจะดูพระพักต์ต้องถ้อยออกจากฐานประมาณ 100 เมตร
และถ้าจะเดินเวียนฐาน ต้องใช้เวลาเดิน ประมาณ 3 นาที

ในตัวองค์พระมีบรรไดขึ้นไปชมทัศนียภาพ รอบวัด สามารถขึ้นไปได้ประมาณ
ช่วงท้องเท่านั้น งานก่อสร้างใช้คนงานที่รับช่วงนาน ขนาดลูกที่เกิดมายังช่วยมาสร้างพระต่อ


วันเสาร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2553

มองเลขที่บัตรประชาชนในอีกมุมหนึ่ง

> เลขที่บัตรประชาชน> 2> ตัวท้ายหมายเลขอะไร?
>
> หยิบ> บัตรประชาชนขึ้นมาแล้วรีบตรวจสอบดูว่าเลขที่บัตรประชาชน> 2 ตัวท้ายหมายเลขอะไร?
> จากนั้นนำมาค้นหาความเป็นตัวจริงของคุณ> รักร้อน ๆ> และจุดอ่อนได้ที่นี่
>
> เลข 01, 10, 19, 28, 37, 46, 55, 64, 73, 82,> 91
> ตัวจริงของคุณ : เป็น
>
> คนที่มีความเชื่อมั่นในตนเองสูง> มีคุณธรรมและเมตตาธรรม
> จิตใจดีมีความรับผิดชอบสูง> ชอบช่วยเหลือผู้อื่น
> เฉลียวฉลาด> ปราดเปรื่อง> มีปฏิภาณในไหวพริบอันยอดเยี่ยม
> เต็มเปี่ยมไปด้วยความคิดริเริ่มสร้างสรรค์> ปรารถนาการเป็นบุคคลแถวหน้า
> และการได้รับความยอมรับนับถือจากผู้คนรอบข้าง
>
> รักร้อน ๆ : ชอบเพศตรงข้ามที่มีความเป็นผู้นำ
> แต่ขณะเดียวกันก็ยังหลงไหลในความอ่อนโยน
> อ่อนหวาน> และอ่อนไหวของใครบางคน
> จุดอ่อน : คุณเป็นคนที่มีโอกาส> แต่ต้องพลาดจังหวะดี
> ๆ ในชีวิตไป หลายครั้ง> ก็เพราะเกิดอาการลังเลกล้า
> ๆ กลัว ๆ> และไม่ชอบเสี่ยง
>
> เลข 02, 11, 20, 29, 38, 47, 56, 65, 74, 83,
> 92
> ตัวจริงของคุณ : เป็น
> คนอ่อนหวาน> นุ่มนวลกริยามารยาทเรียบร้อย
> มีความประนีประนอมสูง> รักสันติ
> อ่อนน้อมถ่อมตน> เป็นคนที่ปากตรงกับใจ
> คิดอย่างไรก็พูดอย่างนั้น> ซื่อสัตย์ ซื่อตรง
> และมีอุดมการณ์> รักเพื่อนฝูง
> รักครอบครัว> และรักบ้าน
> มีจิตใจละเอียดอ่อน> มีพรสวรรค์และชั้นเชิงในงานศิลปะทุกรูปแบบ
> รักร้อน ๆ : คุณต้องการใครสักคน> ที่ทำให้คุณรู้สึกอบอุ่น
> มั่นคง> และเป็นตัวของตัวเอง
> จุดอ่อน : คุณเป็นคนหูเบา> เชื่อคนง่าย
> ไม่รู้จักแยกแยะผิดถูก> มักเดือนดร้อน
> และเสียชื่อเสียงเพราะตกเป็นเหยื่อของผู้ที่มีเล่ห์เหลื่ยมแพรวพราว
>
> เลข 03, 12, 21, 30, 39, 48, 57, 66, 75, 84,
> 93
> ตัวจริงของคุณ : เป็น> คนมีมนุษย์สัมพันธ์ดี
> มีความประนีประนอมสูง> ปรับตัวเก่ง
> ช่างเอาอกเอาใจ> และแคร์ความรู้สึกของคนชิดใกล้
> ร่ำรวยรอยยิ้มและอารมณ์ขัน> มองโลกในแง่ดี
> ไม่มีพิษสงอะไรกับใครเขา> ปรารถนาให้ทุก ๆ
> คนในชีวิตมีแต่ความสงบสุขเป็นคนที่ไม่ชอบย่ำอยู่กับที่
> จึงขวนขวายศึกษาหาความรู้ใหม่> ๆ ใส่ตัวอยู่เสมอ
> รักร้อน ๆ : เก่งมาจากไหน> ก็แพ้หัวใจใครสักคนที่อยู่ด้วยแล้วอบอุ่น
> คอยดูแลเอาใจใส่ยามอยู่ใกล้> และคอยห่วงใยยามอยู่ไกลกัน
> จุดอ่อน : เป็นคนที่มีจุดมุ่งหมายในชีวิตไม่ชัดเจน
> เปลื่ยนแปลงบ่อยตามสภาพแวดล้อม
>
> เลข 04, 13, 22, 31, 40, 49, 58, 67, 76, 85,
> 94
> ตัวจริงของคุณ : เป็นคนเก็บเนื้อเก็บตัว> พูดน้อย
> ชอบทำอะไรเงียบ ๆ> คนเดียว> โดดเดี่ยวและรักอิสระ
> เป็นคนฉลาดคิดและฉลาดทำ> ช่างเลือก
> และชอบการวางแผนล่วงหน้า> เชื่อมั่นในความคิดของตัวเองเสมอ
> ไม่ว่าจะเป็นแนวความคิดที่แปลกพิสดารเพียงไร
> รักร้อน ๆ : เป็นคนชอบทดลอง> ชอบความแปลกใหม่ที่ไม่ซ้ำแบบใคร
>
> ดังนั้นใครบางคนที่มากับเรื่องเซอร์ไพร์ส> จะสร้างความประทับใจให้คุณอยู่เสมอ
> จุดอ่อน : คุณเป็นคนอารมณ์ร้อน> โมโหร้าย
> และเผลอทำอะไรไปโดยไม่ได้ยั้งคิด> แต่ยังดีที่เป็นคนโกรธง่ายหายเร็ว
>
> เลข 05, 14, 23, 32, 41, 50, 59, 68, 77, 86,
> 95
> ตัวจริงของคุณ : เป็นคนที่ทำอะไรรวดเร็ว> กระตือรือร้น
> และไม่ชอบหยุดนิ่งอยู่กับที่> เสาะแสวงหาสิ่งแปลกใหม่อยู่ร่ำไป
> ร่าเริงแจ่มใส> ไม่เคร่งเครียด> มองทุกอย่างเป็นเรื่องง่าย
> หากตั้งใจและลงมือทำ> ย่อมประสบผลสำเร็จได้ไม่ยาก
> รอบคอบและถี่ถ้วน> ใส่ใจในทุกรายละเอียด
> ไม่ประมาท> ถือหลักปลอดภัยไว้ก่อน> รักร้อน ๆ : คุณไม่ชอบเดินทางไกล
> ไม่ชอบการผจญภัย> ไม่ชอบสถานที่แคบ ๆ
> และไม่ชอบคนใจแคบ> คุณจึงชอบความรักที่เรียบง่าย
> ไม่ยุ่งยาก> ไม่วุ่นวายสับสน> ขณะเดียวกันก็มีอิสระเสรี
> มีความเชื่อมั่นในกันและกัน
> จุดอ่อน : คุณเป็นคนที่ชอบสัญญาหรือรับปากใครต่อใครไว้ก่อน
> ทั้งที่ไม่รู้ว่าจะทำได้จริงหรือเปล่า
> เมื่อทำไม่ได้> (ทั้งที่ได้พยายามแล้ว)
>
> จึงทำให้คุณดูเหมือนเป็นคนที่ไม่น่าเชื่อถือและไว้วางใจ
>
> เลข 06, 15, 24, 33, 42, 51, 60, 69, 78, 87,
> 96
> ตัวจริงของคุณ : เป็นคนสุภาพเรียบร้อย> กริยามารยาทน่มนวล
> อ่อนช้อย> พูดจาไพเราะมักมีอุดมการณ์> และทัศนคติส่วนตัวที่ไม่เหมือนใคร
> และพร้อมที่จะโดดเดี่ยวตามลำพังเพื่อความฝันของตัวเอง> มีเหตุผล
> > และเป็นคนช่างคิด> รักร้อน ๆ : คุณเสาะแสวงหาใครสักคนที่ซื่อสัตย์
> จงรักภักดี> เสมอต้นเสมอปลาย> และไว้วางใจได้
> จุดอ่อน : เป็นคนที่เห็นแก่พวกพ้องมากกว่าสิ่งอื่นใด
> ใจอ่อน> และไม่เป็นตัวของตัวเอง
>
> เลข 07, 16, 25, 34, 43, 52, 61, 70, 79, 88,
> 97
> ตัวจริงของคุณ : เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตัว> พูดน้อย พูดจริง
> ไม่ชอบการคุยโม้โอ้อวด> หรือการยกตนข่มท่าน
> สติปัญญาดี> มีความเจริญก้าวหน้าในการศึกษาและอาชีพ
> รู้ว่าตัวเองมีข้อดีข้อด้อยที่ตรงไหน> และพร้อมที่จะปรับปรุง
> เป็นคนที่ดูแลและรักษาสุขภาพของตัวเองพิถีพิถัน
> และเฉลียวฉลาดในการดำเนินชีวิต
> รักร้อน ๆ : คุณหลงใหลใครสักคนที่เดิมไปด้วยจินตนาการ
> แรงบันดาลใจ> และเอกสักษณ์เฉพาะตัว
> จุดอ่อน : เป็นคนมุ่งมั่นและเอาจริงเอาจังกับหน้าที่การงานและความสำเร็จ
> จนละเลยเรื่องรักและความรู้สึกลึก> ๆ ข้างใน
>
> เลข 08, 17, 26, 35, 44, 53, 62, 71, 80, 89,
> 98
> ตัวจริงของคุณ : เป็นคนที่ใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์
> ตรงไปตรงมา
> กล้าในส่งที่ควรกล้า
> และเป็นคนที่กล้าทำก็กล้ารับ
> หนักแน่นอดทนเข็มแข็งและมั่นคง
> สุขุมและเยือกเย็น
> รอบคอบ
> และพิถีพิถันในทุกขั้นตอนของการดำเนินชีวิต
> รักร้อน ๆ : คุณชอบความหรูหราเป็นที่สุด
> และคุณเชื่อเสมอมาและจะเชื่อตลอดไปว่า
> ในโลกนีไม่มีของดีราคาถูก
>
> และความรักของคุณก็คือการลงทุนชนิดหนึ่ง
> จุดอ่อน : รักงานมากกว่าสุขภาพ
> หรือคนรัก
>
> เลข 09, 18, 27, 36, 45, 54, 63, 72, 81, 90,
> 99
> ตัวจริงของคุณ : เป็นคนหัวโบราณ
> เคร่งครัดต่อกฏเกณฑ์
> และประเพณีนิยม
> ซื่อสัตย์
> และมีความยุติธรรมประจำหัวใจ
> ดื้อรั้น
>
> มุ่งมั่นและมีความฝันเป็นของตัวเอง
> อดทนและทานทนต่อทุกสภาวการณ์
> ทะเยอทะยานเป็นระยะ
> ตามจังหวะของแรงขวัญและกำลังใจ
> เคร่งเครียด
> เอาจริงเอาจังกับการดำเนินชีวิต
> เมื่อพลาดและผิดมักไม่ยอมให้อภัยตัวเอง
> ชอบมองโลกในแง่ร้าย
> แต่ไม่เคยคิดร้ายใคร
> รักร้อน ๆ : คุณต้องการใครสักคนที่พร้อมจะอยู่เคียงค้างคุณอย่างเชื่อมั่น
>
> ด้วยแนวคิดและทัศนคติที่สอดคล้องต้องกัน
> จุดอ่อน : วู่วามและออกจะหุนหันพลันแล่นไปบ้าง
> ในยามที่ไม่สบอารมณ์
> หรือมีบางสิ่งบางอย่างผิดพลาดไปจากความคาดหมาย
>

เรื่องรักที่ควรรู้

* 1.อารมณ์หึงเกิดขึ้นได้ทั้งชายและหญิง แต่อารมณ์หึงของผู้หญิงจะซับซ้อนกว่าผู้ชาย

2. ผู้ชายร้อยละ 90 ชอบผู้หญิงสวย น่ารัก แต่ผู้ชายร้อยละ 100 อยากอยู่กับผู้หญิงฉลาดและเฉลียว

3. คนที่มีแฟนขี้หึงขั้นรุนแรง มีเพียง 0.000001 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่ชอบ นอกนั้นรู้สึกว่าอึดอัด ผู้ชายทั้ง หลายควรจะดีใจที่มีแฟนขี้หึงซะ

4.ไม่เคยมีคู่ไหนไม่ต้องใช้ความอดทนในการรัก เพียงแต่จะเป็นการอดทนในรูปแบบไหนเท่านั้นเอง

5. คนที่มีกิ๊กนอกเหนือจากแฟนตัวจริง คือคนที่ไม่ศรัทธาในความรัก

6. อย่ากลัวการอกหัก เพราะไม่เคยมีใครตายจากโรคอกหัก มีแต่ความอ่อนแอเท่านั้นที่ทำให้ฆ่าตัวตาย

* 7. ความรักมักไม่เกิดตอนที่เฝ้ารอ แต่เมื่อปล่อยตัวตามสบาย ความรักมักจะมาทำเซอร์ไพรส์ให้หัวใจ

8. ถึงจะไว้ใจเพื่อนแค่ไหน ก็อย่าให้เพื่อนกับแฟนของเราสนิทกันเกินไปเพราะหายนะอาจตามมา

* 9.ถ้าเรารู้สึกอายเวลาเดินเคียงข้างแฟนที่ขี้เหร่ นั่นหมายความว่าเราไม่ได้รักเค้าจริง

* 10.อย่าบ่นให้ใครฟังว่าแฟนไม่เคยทำตัวดีขึ้นเลย เพราะจะโดนย้อนว่า ' แล้วจะโง่ทนคบอยู่ทำไม'

11. ถ้ารู้ตัวว่าเป็นคนที่ขี้หึงขั้นรุนแรง อย่าได้เลือกคบผู้ชายที่หน้าตาและมนุษยสัมพันธ์ดีเด็ดขาด

12. การที่ผู้ชายมองผู้หญิงสวย เซ็กซี่ จนเหลียวหลัง ไม่ได้หมายความว่าเข้าต้องการแฟนที่เป็นแบบนั้น

13. ผู้ชายที่ไว้ใจได้ว่าไม่นอกใจแฟนหรือภรรยา มีเพียงแต่ผู้ชายที่อยู่ในโลงเท่านั้น ควรจำให้ขึ้นใจ

* 14. พยายามทำตัวให้ดีและมีคุณค่ามากกว่าผู้หญิงที่แย่งแฟนเราไป แล้วซักวันแฟนเราจะกลับมาเอง

* 15. อย่าคบกับผู้ชายที่เอาเรื่องแฟนเก่ามาพูดเสียๆ หายๆ เพราะเราอาจจะเป็นรายต่อไป

16. ผู้ชายที่รักสัตว์ รักเสียงเพลง รักครอบครัว น่าคบมากกว่าผู้ชายที่รักตัวเองซะอีก

17. อายุที่มากขึ้นอาจทำให้ต้องลดสเปกชายในฝันลง แต่ข้อที่ไม่ควรลดเด็ดขาดคือ ความดีและความจริงใจ

18. ผู้ชายที่เกาะชายกระโปรงผู้หญิงกิน ดูน่ารังเกียจกว่าผู้หญิงที่ชอบปอกลอกผู้ชายหลายเท่า

19. มนุษย์ผู้ชายมีน้อยกว่ามนุษย์ผู้หญิง ผู้ชายที่ดีและเป็นโสดก็มีน้อยกว่าผู้ชายที่***และมีเจ้าของด้วย

20.อย่ารักผู้ชายที่ทั้งขี้เหร่ ขี้เกียจและขี้เมา เพราะเราจะต้องรู้สึกตกนรกไปตลอดชีวิตอย่างแน่นอน

* 21.คู่รักที่เดินกอดจูบกันต่อหน้าชุมชน มีแต่ฝ่ายหญิงเท่านั้นที่จะถูกประณามและดูถูกอย่างรุนแรง

22. เซ็กส์ไม่สามารถผูกมัดให้คู่รักอยู่ด้วยกันไปตลอด ความผูกพันต่างหากที่จะดึงรั้งกันไว้ได้

* 23. อายุไม่ใช่อุปสรรคของความรัก ถ้าความคิดหัวใจตรงกัน ความมั่นคงก็เกิดขึ้นได้

24.ในชีวิตจริงของความรัก เราอาจไม่ใช่นางเอกที่แสนดี บางทีต้องมีการใช้ ไหวพริบในการแย่งชิงบ้าง

25.คนสวยหรือคนหล่อสามรถอกหักได้เหมือนกัน ถ้าทำตัวไม่ดีหรือมีเวลาให้กับความรักไม่พอ

* 26. ถึงจะได้ยินว่ามีรักที่ไหนมีทุกที่นั่น แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังเลือกที่จะมีความรักมากกว่าจะอยู่เป็นโสด

27. เรื่องที่แฟนไม่ยอมเล่าให้ฟังตั้งแต่แรก มักเป็นเรื่องที่เรารู้เมื่อไหร่ก็ต้องควันออกหูอยู่ดี

28.ถ้าชื่นชมในตัวแฟน 100 เปอร์เซ็นต์ ควรบอกเค้าแค่ 70 เปอร์เซ็นต์

* 29 .ถึงผู้ชายจะบอกว่าไม่ชอบผู้หญิงแต่งหน้า แต่ผู้ชายก็ไม่ชอบคนที่หน้ามันหรือซีดตลอด

30.ผู้ชายชอบติรูปร่างของแฟนหรือคนโน้นคนนี้ โดยลืมดูรูปร่างตัวเองว่าแย่ขนาดไหน

31. คนต่างชาติต่างภาษาสามารถรักกันได้ เพราะภาษาหัวใจเป็นภาษาสากลที่ไม่ต้องการคำแปล

32. ผู้ชายต้องใช้สมองและทักษะมากขึ้นในช่วงที่มีความรัก เพราะผู้หญิงมักปากไม่ตรงกับใจ

33.ผู้ชายชอบเป็นฝ่ายไล่ล่า มากกว่าจะเป็นฝ่ายถูกล่า ฉะนั้นจึงไม่แปลกที่จะพยายามหนีเมื่อถูกตาม=

เรื่องดีๆ ที่เพื่อนๆ แบ่งปัน

"อย่าหนีนะ ไอ้เด็กขี้ขโมย"

เรื่องนี้อาจจะมีเนื้อหายาวหน่อยนะคะ แต่ลองอ่านดูค่ะ ซึ้งจนน้ำตาซึมเลย T_T
"อย่าหนีนะ ไอ้เด็กขี้ขโมย" เสียงผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งตะโกนลั่น พร้อมกับมีเด็กคนหนึ่งกับผู้หญิงอีกคนหนึ่งวิ่งผ่านฉันกับแม่ที่กำลังซื้อเนื้อหมูในตลาดไปอย่างรวดเร็ว
ทั้งแม่และฉันหันไปดูทันเห็นหน้าผู้หญิงคนนั้นเพียงแวบเดียว แม่ถามฉันว่า "อ้าว นั่นป้าร้านขายของไม่ใช่เหรอ" "ใช่จ๊ะแม่ แกวิ่งไล่ใครกันนะ"
ป้าคนนั้นชื่อว่า 'ป้าหนอม' เป็นแม่ค้าขายของชำสารพัดอย่างในตัวตลาดในอำเภอที่ฉันอยู่ มีฐานะจัดว่าดีกว่าแม่ค้าคนอื่นๆในละแวกเดียวกัน และเป็นที่รู้กันว่าแกเป็นคนขี้เหนียวอย่างร้ายกาจ แถมปากจัดที่สุดในตลาดอีกด้วย ใครต่อราคาของมากเกินไป หรือถามราคาแล้วไม่ซื้อ ป้าแกจะโวยวายชนิดต้องรีบเผ่นออกจากร้านแทบไม่ทันทีเดียว
เสียงเอะอะดังมากขึ้น ฉันหันไปมองป้าหนอมจับข้อมือเด็กผู้ชายคนหนึ่งอายุประมาณ12-13 ขวบ ไล่เลี่ยกับฉันซึ่งกำลังดิ้นรนอยู่ และป้าแกกำลังจะลงไม้ลงมือ
แม่จึงเดินเข้าไปถาม "พี่หนอม มีอะไรเหรอคะ"
"ก็ไอ้เด็กเวรนี่นะสิมันมาทำทีขอซื้อยาแก้ปวดกับยาธาตุ พอฉันหยิบส่งให้มันก็หนีมาเลยเงินก็ไม่จ่าย" พูดจบป้าหนอมก็ตบหัวเด็กคนนั้นอย่างแรงหนึ่งที และคงจะมีตามมาอีกหลายทีแน่ถ้าแม่ฉันไม่ห้ามไว้
"ตายแล้วพี่หนอมอย่าถึงกับลงไม้ลงเมือกันเลยนะ แล้วนี่จะทำไงต่อ" แม่รีบตัดบทเพราะเห็นว่าเรื่องราวชักจะไปกันใหญ่
"เรียกตำรวจมาเอามันไปเข้าคุกนะสิ เสียนิสัย พ่อแม่ไม่สั่งสอน ยังเด็กตัวแค่นี้ก็ริเป็นขโมยซะแล้ว ต่อไปก็คงต้องปล้นเขากินละ"
ฉันสะกิดแม่ทันทีพร้อมกับมองพลางส่ายหัวน้อย ๆ ทำนองว่าอย่าไปยุ่งดีกว่า แม่มองฉันแล้วมองเด็กคนนั้น ซึ่งท่าทางเหมือนกำลังร้องให้
แม่นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหันไปพูดกับป้าหนอมว่า "อย่าให้ถึงยังงั้นเลยนะพี่หนอม เด็กมันคงแค่อยากซื้อยาแต่ไม่มีเงินน่ะ เอาเป็นว่าฉันจ่ายให้ละกันนะ กี่บาทกันล่ะ"
ในที่สุดเรื่องก็จบลงโดยการที่แม่ยอมจ่ายเงินค่ายาแก้ปวดกับยาธาติแล้วแม่ก็จูงเด็กคนนั้นออกมาจากตลาด แต่ป้าหนอมไม่วายเตือนแม่ "ใจดีกับเด็กขี้ขโมยแบบนี้ ระวังจะเสียใจทีหลังนะเธอ"
แม่ไมได้ตอบอะไร แต่พอเดินห่างจากร้านพอสมควรแล้วก็ถามว่า "ทำไมหนูขโมยของป้าเขาล่ะ"
เด็กคนนั้นเงยหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาขึ้นมองแม่ แล้วตอบสะอึกสะอื้นว่า "แม่ผมปวดท้องมากเลยครับ แล้วแม่ก็ไม่มีเงินไปหาหมอ ผมก็เลยต้อง..."
แม่มองหน้าเด็กคนนั้นอยู่ครู่หนึ่งแล้วยื่นผลไม้ที่ซื้อมาให้เด็กคนนั้นถุงหนึ่งแล้วบอกว่า"ทีหลังอย่าขโมยของใครนะ ถ้าไม่มีเงินมาขอเงินน้าไปซื้อก็ได้นะ น้าชื่อสมพร เปิดร้านเย็บผ้าอยู่ใกล้ๆนี่เอง ถามคนแถวนี้ก็ได้ รู้จักน้าแทบทุกคนแหละ เอ้า...เอาส้มไปฝากคุณแม่ซิ คนป่วยน่ะต้องกินผลไม้ให้มากๆจะได้หายไวๆรู้ไหม" แม่เสริมพร้อมกับยิ้ม เด็กคนนั้นอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะรับส้มพร้อมกับพูดขอบคุณแล้วเดินจากไป
หลังจากนั้นพอกลับมาถึงบ้าน ฉันก็ถามแม่ทันที "ทำไมแม่ถึงต้องช่วยเด็กคนนั้นด้วยล่ะ รู้จักกันเหรอจ๊ะ"
แม่ยิ้มแล้วตอบฉันว่า "ไม่รู้จักหรอก แต่แม่เคยเห็นเด็กคนนั้นรับจ้างหาบขนมขายอยู่แถวบ้านเราน่ะลูก แต่แกคงจำแม่ไม่ได้หรอก แม่ซื้อขนมแกอยู่ไม่กี่ครั้งเอง"

"แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะต้องช่วยเหลือเขาถ้าเขาเป็นขโมยนี่แม่" ฉันถามต่อ
แม่มองหน้าฉันแล้วพูดว่า "แม่เชื่อว่าเด็กที่เคยหาเงินด้วยตัวเองมาก่อนตั้งแต่อายุเท่าๆกับลูก จะต้องเป็นเด็กดีที่มีความรับผิดชอบ รู้คุณค่าของเงินทุกบาททุกสตางค์ว่ากว่าจะได้มามันเหนื่อยยากขนาดไหนและคนที่มีความรับผิดชอบน่ะนะลูก จะไม่มีทางขโมยของใครนอกจากจะจำเป็นจริงๆเมื่อเขาไม่มีทางอื่นให้เลือกแล้วเท่านั้น"
ฉันฟังแล้วก็ถามแม่ต่อว่า "แล้วต่อไปถ้าเขามาขอเงินแม่ไปซื้อยาอีกแม่จะให้เขารึเปล่า"
"ให้สิลูก ถ้ามันไม่มากไม่มายอะไร"
"แล้วแม่ไม่เสียดายเงินเหรอ บ้านเราก็ไม่ได้ร่ำรวยอย่างบ้านป้าหนอมเขานะแม่"
"ถึงแม่จะไม่มีเงินทองมากนัก แต่การได้ช่วยเหลือคนที่กำลังลำบากน่ะ มันทำให้แม่มีความสุข แล้วยังได้บุญอีกด้วยนะ แค่นี้แม่ก็พอใจแล้ว ไม่อยากได้อะไรตอบแทนหรอก"
แล้วแม่ก็พูดต่ออีกว่า "จำไว้นะลูก คนเราน่ะต้องรู้จักให้อภัยและให้โอกาสคนอื่นแก้ตัวเสมอ อย่างเด็กคนั้นนั้น...แม่มั่นใจว่าแกทำไปเพราะรักคุณแม่ของแกจริงๆแม่ถึงช่วยแกเอาไว้"
แล้วแม่ก็พูดต่อว่า "ลูกอาจจะบอกว่าขโมยเป็นสิ่งที่ผิด ใช่...แม่ไม่เถียงแต่บางครั้งคนเราก็ต้องมองด้านอื่นๆบ้าง อย่าคิดแต่เรื่องทรัพย์สินเงินทอง ตอนนี้ลูกอาจจะยังฟังไม่เข้าใจ แต่แม่เชื่อว่าสักวันลูกจะเข้าใจเองแหละ"
หลังจากนั้นฉันกับแม่ก็หันไปคุยเรื่องอื่นๆกันต่อฉันเองก็ไม่เคยคิดเรื่องนี้อีกเลย
จนเหตุการณ์หนึ่งเปิดขึ้นทำให้ฉันต้องย้อนกลับมาคิดถึงเรื่องนี้อีกครั้งทั้งน้ำตา ว่าคำพูดของแม่ในครั้งนี้ถูกต้องที่สุดจริงๆ
หลังจากฉันเรียนจบระดับปริญญาตรีจากสถาบันราชภัฏแห่งหนึ่งในตัวจังหวัดแล้ว แล้วก็ได้งานทำในโรงงานแห่งหนึ่งในตัวจังหวัดนั่นเอง เงินเดือนก็พอประมาณ สามารถเลี้ยงดูแม่ได้โดยไม่ขัดสนนัก
ฉันก็เลยขอให้แม่หยุดรับจ้างเย็บผ้าเพราะอยากให้แม่พักผ่อนบ้า หลังจากทำงานหนักมาเกือบ 20 ปี เพื่อส่งฉันเรียน
แม่ยอมปิดร้านแต่ก็ยังรับงานเล็กๆน้อยๆของเพื่อนบ้านมาทำบ้างโดยไม่คิดเงิน แม่บอกว่าถ้าไม่ได้ทำอะไรเลยจะรู้สึกเบื่อ ฉันก็เลยต้องยอมตามใจแม่
ฉันทำงานอยู่ประมาณ 2-3 ปี แม่ก็เริ่มรู้สึกไม่สบาย เริ่มจากปวดหัวบ่อยขึ้น ช่วงแรก ๆ ไม่กี่วันก็หาย หลังจากนั้นก็เริ่มเป็นนานขึ้นเรื่อยๆฉันบอกให้แม่ไปหาหมอแล้วฉันก็พาแม่ไปหาหมอในเมือง หมอบอกว่าไม่เป็นอะไรมาก แค่ทำงานหนักเกินไป หมอให้ยามาชุดหนึ่งพร้อมกำชับให้พักผ่อนมากๆจะได้หายเร็ว ๆ หลังจากกินยาตามที่หมอสั่ง อาการปวดหัวของแม่ก็หายไป ฉันเริ่มสบายใจขี้น แต่หลังจากไปหาหมอมาได้ประมาณหนึ่งเดือนแม่ก็เริ่มกลับมาปวดหัวอีก คราวนี้เป็นหนักมากกว่าครั้งที่แล้ว ยาที่เคยกินแล้วได้ผลมาก่อนก็ไม่ได้ผลเลย ฉันกังวลใจมาก พอถามหมอหมอก็บอกว่าต้องไปตรวจที่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯเพราะว่ามีเครื่องไม้เครื่องมือในการตรวจพร้อมกว่าโรงพยาบาลตามต่างจังหวัด
หลังจากนั้นฉันรีบพาแม่ไปกรุงเทพ ฯ ทันที ไปยังโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง หลังจากหมอตรวจแล้วก็บอกว่า แม่มีเนื้องอกในสมองต้องผ่าตัดโดยด่วน หากปล่อยทิ้งไว้อาจไปทับเส้นประสาททำให้เป็นอัมพาตได้ หรือถ้าผ่าตัดไม่ทันก็อาจร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิต
ฉันตกใจมากขอให้หมอผ่าตัดให้ทันที แต่หมอบอกว่า โรงพยาบาลที่มีหมอผ่าตัดสมองที่มีความพร้อมที่จะผ่าตัดเนื้องอกในสมองเป็นอีกโรงพยาบาลหนึ่งซึ่งมีชื่อเสียงกว่ามาก ดังนั้นหมอจึงต้องส่งตัวคนไข้ไปโรงพยาบาลนั้น ฉันตกลง
หลังจากถูกส่งตัวมายังโรงพยาบาลดังกล่าวแล้ว แม่ก็ถูกนำเข้าห้องผ่าตัดทันทีขณะที่ฉันรออย่างกังวลในอยู่ด้านนอก ทั้งเรื่องอาการป่วยของแม่ และจากคำพูดของหมอที่ทิ้งท้ายไว้ก่อนส่งตัวแม่มาที่โรงพยาบาลแห่งนี้ หมอบอกให้ทำใจไว้บ้าง เพราะการผ่าตัดสมองเป็นการผ่าตัดที่เสียงมากโอกาสที่คนไข้จะเสียชีวิตมีมาก แม้การผ่าตัดจะประสบความสำเร็จก็ตาม อีกเรื่องหนึ่งก็คือค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดสมองค่อนข้างสูง เป็นหลักแสนบาท เมื่อรวมกับค่ายาระหว่างพักฟื้น คิดแล้วน่าจะต้องใช้เงินราวๆหน้าแสนบาท
ฉันได้ยินแล้วแทบลมจับ ฉันจะไปหาเงินห้าแสนบาทมาจากไหนลำพังเงินเก็บของฉันกับแม่ยังมีไม่ถึงห้าหมื่นบาทเลย แต่ยังไงฉันก็ต้องรักษาแม่ให้หาย ส่วนเรื่องเงินไว้คิดทีหลัง หลังจากการผ่าตัดเสร็จสิ้นลง
เป็นโชคดีของแม่ที่การผ่าตัดประสบความสำเร็จและไม่มีอาการแทรกซ้อนใดๆทางโรงพยาบาลบอก ให้พักฟื้นประมาณหนึ่งเดือนก็สามารถไปพักฟื้นต่อที่บ้านได้
ทางโรงพยาบาลแจ้งรายการค่าใช้จ่ายทั้งหมดมาให้ฉันปรากฏว่าเป็นเงินจำนวนไม่ถึงหนึ่งพันบาทเป็นค่าติดต่อประสานงานเท่านั้นฉันแปลกใจมากจึงสอบถามกับนางพยาบาล
นางพยาบาลบอกว่าคุณหมอที่เป็นคนผ่าตัดและเป็นเจ้าของไข้บอกไม่ให้คิดเงินจากฉันและแม่ โดยที่ทางโรงพยาบาลก็ไม่ทราบสาเหตุ ฉันจึงขอพบคุณหมอคนนั้นเพื่อขอบคุณ
นางพยาบาลบอกว่าหลังจากผ่าตัดเสร็จคุณหมอก็ถูกส่งตัวไปต่างประเทศทันทีเพื่อศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการผ่าตัดสมองที่อเมริกา แต่คุณหมอได้ฝากจดหมายไว้ให้ฉันกับแม่ โดยกำชัดกับทางโรงพยาบาลฝากให้ฉันพร้อมกับใบเสร็จค่าใช้จ่ายอื่นๆของทางโรงพยาบาลในวันที่แม่สามารถออกจากโรงพยาบาลได้
เมื่อกลับถึงบ้านฉันกับแม่ก็เปิดอ่านจดหมายของคุณหมอคนนั้น เมื่ออ่านจบทั้งฉันและแม่ก็ร้องให้ออกมาพร้อมกันเนื้อความในจดหมายมีดังนี้
'ข้าพเจ้านายแพทย์เดชา ทองวิจิตร แพทย์ผู้ผ่าตัดนางสมพร ภู่จันทร์ขอสรุปค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดทั้งหมด ดังนี้
ค่าผ่าตัด 0 บาท
ค่ายาทั้งหมด 0 บาท
ค่าใช้จ่ายอื่นๆที่เหลือ 0 บาท
รวมเป็นเงินทั้งหมด 0 บาท
ป.ล. ค่าใช้จ่ายทั้งหมดได้รับแล้วเมื่อยี่สิบปีก่อนด้วยยาแก้ปวด ยาธาตุ
ส้มหนึ่งถุง ขอให้สุขภาพแข็งแรงไปอีกนานๆนะครับคุณน้า นายแพทย์เดชา ทองวิจิตร'

การทำกรรมดีกับผลตอบแทนที่คาดหวัง

มาสร้างบุญบารมีกันเถอะ

1. นั่งสมาธิ อย่างน้อยวันละ 15 นาที(หรือเดินจงกรมก็ได้)
อานิสงส์ --- เพื่อสติปัญญาที่เฉลียวฉลาดขึ้นทั้งภพนี้และภพหน้า
เพื่อจิตใจที่สว่างผ่อนปรนจากกิเล! ปล่อยวางได้ง่าย
จิตจะรู้วิธีแก้ปัญหาชีวิตโดยอัตโนมัติ
ชีวิตจะเจริญรุ่งเรืองไม่มีวันอับจน
ผิวพรรณผ่องใส สุขภาพกายและจิตแข็งแรง
เจ้ากรรมนายเวรและญาติมิตรที่ล่วงลับจะได้บุญกุศล

2. สวดมนต์ ด้วยพระคาถาต่างๆอย่างน้อยวันละครั้งก่อนนอน
อานิสงส์ --- เพือให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง
ชีวิตหน้าที่การงานเจริญก้าวหน้า
เงินทองไหลมาเทมา แคล้วคลาดจากอุปสรรคทั้งปวง จิตจะเป็นสมาธิได้เร็ว
แนะนำพระคาถาพาหุงมหากา , พระคาถาชินบัญชร ,
พระคาถายอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก เป็นต้น
เมื่อสวดเสร็จต้องแผ่เมตตาทุกครั้ง

3. ถวายยารักษาโรค ให้วัด , ออกเงินค่ารักษาให้พระตามโรงพยาบาลสงฆ์
อานิสงส์ - -- ก่อให้เกิดสุขภาพร่มเย็นทั้งครอบครัว โรคที่ไม่หายจะทุเลา
สุขภาพกายจิตแข็งแรง อายุยืนทั้งภพนี้และภพหน้า
ถ้าป่วยก็จะไม่ขาดแคลนการรักษา

4. ทำบุญตักบาตร ทุกเช้า
อานิสงส์ --- ได้ช่วยเหลือศาสนาต่อไปทั้งภพนี้และภพหน้า ไม่ขาดแคลนอาหาร
ตายไปไม่หิวโหย อยู่ในภพที่ไม่ขาดแคลน ข้าวปลาอาหารอุดมสมบูรณ์

5.. ทำหนังสือหรือสื่อต่างๆ เกี่ยวกับธรรมะแจกฟรีแก่ผู้คนเป็นธรรมทาน
อานิสงส์ --- เพราะธรรมทานชนะการให้ทานทั้งปวง ผู้ให้ธรรมจึงสว่างไปด้วยลาภ ยศ
สรรเสริญ ปัญญา และบุญบารมีอย่างท่วมท้น เจ้ากรรมนายเวรอโหสิกรรมให้
ชีวิตจะเจริญรุ่งเรืองอย่างไม่คาดฝัน

6. สร้างพระถวายวัด
อานิสงส์ --- ผ่อนปรนหนี้กรรมให้บางเบา ให้ชีวิตเจริญรุ่งเรือง
สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง แคล้วคลาดจากอุปสรรคทั้งปวง ครอบครัวเป็นสุข
ได้เกิดมาอยู่ในร่มโพธิ์ของพุทธศาสนาตลอดไป

7. แบ่งเวลาชีวิตไปบวชชีพรามณ์ หรือบวชพระอย่างน้อย 9 วันขึ้นไป
อานิสงส์ --- ได้ตอบแทนคุณพ่อแม่อย่างเต็มที่
ผ่อนปรนหนี้กรรมอุทิศผลบุญให้ญาติมิตรและเจ้ากรรมนายเวร
สร้างปัจจัยไปสู่น ิพพานในภพต่อๆไป ได้เกิดมาอยู่ในร่มโพธิ์ของพุทธศาสนา
จิตเป็นกุศล

8. บริจาคเลือดหรือร่างกาย
อานิสงส์ --- ผิวพรรณผ่องใส สุขภาพแข็งแรง ช่วยต่ออายุ
ต่อไปจะมีผู้คอ ยช่วยเหลือไม่ให้ตกทุกข์ได้ยาก เทพยดาปกปักรักษา
ให้เกิดมามีร่างกายที่งดงามในภพหน้า ส่วนภพนี้ก็จะมีราศีผุดผ่อง

9. ปล่อยปลา ที่ซื้อมาจากตลาดรวมทั้งปล่อยสัตว์ไถ่ชีวิตสัตว์ต่างๆ
อานิสงส์ --- ช่วยต่ออายุ ขจัดอุปสรรคในชีวิต
ชดใช้หนี้กรรมให้เจ้ากรรมนายเวรท ี่เคยกินเข้าไป ให้ทำมาค้าขึ้น
หน้าที่การงานคล่องตัวไม่ติดขัด ชีวิตที่ผิดหวังจะค่อยๆฟื้นคืนสภาพที่สดใส
เป็นอิสระ

10. ให้ทุนการศึกษา , บริจาคหนังสือหรือสื่อการเรียนต่างๆ , อาสาสอนหนังสือ
อานิสงส์ --- ทำให้มีสติปัญญาดี ในภพต่อๆไปจะ ฉลาดเฉลียวมีปัญญา
ได้มีโอกาสศึกษาเล่าเรียนอย่างรอบรู้ สติปัญญาสมบูรณ์พร้อม

11. ให้เงินขอทาน , ให้เงินคนที่เดือดร้อน(ไม่ใช่การให้ยืม)
อานิสงส์ --- ทำให้เกิดลาภไม่ขาดสายทั้งภพนี้และภพหน้า ไม่ตกทุกข์ได้ยาก
เกิดมาชาติหน้าจะร่ำรวยและไม่มีหนี้สิน ความยา กจนในชาตินี้จะทุเลาลง
จะได้เงินทองกลับมาอย่างไม่คาดฝัน

12. รักษาศีล 5 หรือศีล 8
อานิสงส์ --- ไม่ต้องไปเกิดเป็นเปรตหรือสัตว์นรก
ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐครบบริบูรณ์ ชีวิตเจริญรุ่งเรือง
กรรมเวรจะไม่ถ่าโถม ภัยอันตรายไม่ย่างกราย เทวดานางฟ้าปกปักรักษา


อานิสงส์ 10 ข้อของการไม่กินเนื้อสัตว์
1. เป็นที่รักของบรรดาเทพ พรหม ตลอดจนมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย
2. จิตอันเป็นมหาเมตตาย่อมบังเกิดขึ้น
3. สามารถตัดขาดความอาฆาต ดับอารมณ์เหี้ยมโหดเคียดแค้นในใจลงได้
4. ปราศจากโรคภัยร้ายแรงมาเบียดเบียนร่างกาย
5. มีอายุมั่นขวัญยืน
6. ได้รับการปกป้องคุ้มครองจากเทพทั้งปวง
7. ยามหลับนิมิตเห็นแต่สิ่งที่ดีงามเป็นสิริมงคล
8. ย่อมระงับการจองเวร สลายความอาฆาตแค้นซึ่งกันและกัน
9. สามารถดำรงอยู่ในกระแสพระนิพพาน ไม่พลัดหลงตกลงสู่อบายภูมิ
10. ทันทีที่ละสังขารจากโลกนี้ จิตจะมุ่งสู่สุคติภพ


อานิสงส์การจัดสร้างพระพุทธรูปหรือสิ่งพิมพ์อันเกี่ยวกับพระธรรมคำสอนเป็นกุศลดังนี้
1. อกุศลกรรมในอดีตชาติแต่ปางก่อน จะเปลี่ยนจากหนักเป็นเบา จากเบาเป็นสูญ
2. สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง สรรพภยันตรายสลาย ปวงภัยไม่มี คนคิดร้ายไม่สำเร็จ
3. เจ้ากรรมนายเวรในอดีตชาติแต่ปางก่อน เมื่อได้รับส่วนบุญไปแล้วก็จะเลิกจองเวรจองกรรม
4. เหล่ายักษ์ผีรากษส งูพิษเสือร้าย ไม่อาจเป็นภัยอยู่ในที่ใดก็แคล้วคลาดจากภัย
5. จิตใจสงบ ราศีผ่องใส สุขภาพแข็งแรง กิจการงานเป็นมงคล รุ่งเรืองก้าวหน้าผู้คนนับถือ
6. มั่นคงในคุณธรรม ความอุดมสมบูรณ์ปรากฏ (เกินความคาดฝัน) ครอบครัวสุขสันต์ วาสนา?ั่งยืน
7. คำกล่าวเป็นสัจจ์ ฟ้าดินปราณี ทวยเทพยินดี มิตรสหายปรีดา หนี้สินจะหมดไป
8. คนโง่สิ้นเขลา คนเจ็บหายได้ คนป่วยหายดี ความทุกข์หายเข็ญ สตรีจะได้เกิดเป็นชายเพื่อบวช
9. พ้นจากมวลอกุศล เกิดใหม่บุญเกื้อหนุน มีปัญญาล้ำเลิศ บุญกุศลเรืองรอง
10. สิ่งที่สร้างจะบังเกิดเป็นกุศลจิตแก่ทุกคนที่ได้พบเห็นเป็นเนื้อนาบุญอย่างเอนกทุกชาติของผู้สร้างที่เกิดจะได้ฟังธรรมจากพระอริยเจ้าปัญญาในธรรมแก่กล้าสามารถได้อภิญญาหก สำเร็จโพธิญาณ



อานิสงส์การบวชพระบวชชีพรามณ์ ( บวชชั่วคราวเพื่อสร้างบุญ , อุทิศให้พ่อแม่เจ้ากรรมนายเวร )
1. หน้าที่การงานจะเจริญรุ่งเรือง ได้ลาภ ยศ สรรเสริญตามปรารถนา
2. เจ้ากรรมนายเวรจะอโหสิกรรม หนี้กรรมในอดีตจะคลี่คลาย
3. สุขภาพแข็งแรง สติปัญญาแจ่มใส ปัญหาชีวิตคลี่คลาย
4. เป็นปัจจัยสู่พระนิพพานในภพต่อๆไป
5. สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง โพยภัยอันตรายผ่อนหนักเป็นเบา
6. จิตใจสงบ ปล่อยวางได้ง่าย มองเห็นสัจธรรมแห่??ชีวิต
7. เป็นที่รักที่เมตตามหานิยมของมวลมนุษย์ม! วลสัตว์และเหล่าเทวดา
8. ทำมาค้าขึ้น ไม่อับจน การเงินไม่ขาดสายไม่ขาดมือ
9. โรคภัยของตนเอง ของพ่อแม่ และของคนใกล้ชิดจะเบาบางและรักษาหาย
10. ตอบแทนพระคุณของพ่อแม่ได้เต็มที่สำหรับผู้ที่บวชไม่ได้เพราะติดภาระกิจต่างๆ ก็สามารถได้รับอานิสงส์เหล่านี้ได้ด้วยการสร้าง
คนให้ได้บวชสนับสนุนส่งเสริมอาสา การให้คนได้บวช

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงตัวอย่างบุญที่ยกขึ้นมาเพื่อแสดงให้เห็นถึงอานิสงส์ที่ท่านพึงจะได้รับจงเร่งทำบุญเสียแต่วันนี้ เพราะเมื่อท่านล่วงลับท่านไม่สามารถสร้างบุญได้อีกจนกว่าจะได้เกิด หากท่านไม่มีบุญมาหนุนนำแรงกรรมอาจดึงให้ท่านไปสู่ภพเดรัจฉาน ภพเปรต ภพสัตว์นรกที่ไม่อาจสร้างบุญสร้างกุศลได้ต่อให้ญาติโยมทำบุญอุทิศให้ก็อาจไม่ได้รับบุญดังนั้นท่านจงพึ่งตนเองด้วยการสร้างสมบุญบารมีซึ่งเป็นทรัพย์สินที่ท่านจะนำติดตัวไปได้! ทุกภพทุกชาติเสียแต่วันนี้ด้วยเทอญ

* การให้ธรรมเป็นทานชนะการให้ทั้งปวง

จริงหรือไม่

ความเป็นจริง ของโลกใบนี้

โลกกลมๆ ใบนี้ ไม่มีอะไรได้มาฟรี ๆ
ของฟรีไม่เคยมี ของดีไม่เคยถูก
คุณว่าจริงไหม . . .?

อย่าไปให้ความสำคัญกับใครบางคน เมื่อคุณเป็นแค่ทางเลือกของเขา.
สัมพันธภาพจะดีที่สุดเมื่อทั้งสองฝ่ายให้ความสำคัญกันอย่างสมดุล

ไม่ต้องสาธยายเกี่ยวกับตัวคุณให้ใครฟังหรอก
เพราะคนที่ชอบคุณ ยังไงเขาก็ชอบ และไม่ต้องการฟังมัน
แต่คนที่เกลียดคุณ ยังไงเขาก็ไม่เชื่อคุณหรอก

เมื่อคุณพูดแต่ว่าคุณยุ่ง คุณก็จะไม่ว่างเลย
เมื่อคุณพูดแต่ว่าคุณไม่มีเวลา คุณก็จะไม่มีเวลาเลย
เมื่อคุณพูดแต่ว่าคุณจะทำในวันพรุ่งนี้ วันพรุ่งนี้จะไม่มีวันมาถึงเลย

เมื่อเราตื่นขึ้นมาในยามเช้า เรามีทางเลือกง่ายๆ 2 อย่าง
กลับไปนอนและฝันหวานต่อ หรือ ลุกขึ้นมาแล้วทำความฝันให้เป็นจริง
มันก็แล้วแต่คุณจะเลือกแล้วล่ะ

เรามักทำให้คนที่ใส่ใจเราต้องร้องไห้
เรามักร้องไห้ให้กับคนที่ไม่เคยใส่ใจเรา
และเรามักใส่ใจกับคนที่ไม่มีวันร้องไห้ให้เรา
นี่คือความจริงของชีวิต เป็นเรื่องแปลกแต่จริง
ถ้าเห็นคุณเห็นด้วย มันก็ยังไม่สายเกินแก้

เมื่อคุณกำลังสนุกสนาน ก็อย่ารับปากพล่อยๆ
เมื่อคุณกำลังเศร้า ก็อย่าได้ตอบกลับ
เมื่อคุณกำลังโกรธ ก็อย่าไปตัดสินใจอะไร

คิดให้ถี่ถ้วน ทำอย่างสุขุม


เวลาก็เหมือนสายน้ำ
คุณไม่มีทางสัมผัสน้ำเดียวกันได้สองครั้งหรอก
เพราะมันได้ไหลผ่านไปแล้ว
มีความสุขกับทุกช่วงชีวิตของเราดีกว่า...

ฉลากบนผลไม้










รู้ไว้ใช่ว่า : ฉลากบนผลไม้

ฉลากผลไม้ทั่วไป - มีตัวเลขสี่หลัก ขึ้นต้นด้วย 4 เช่น 4xxx

ฉลากผลไม้ Organic (ผลไม้ที่ปลูกโดยไม่ใช้สารเคมี) - มีตัวเลขห้าหลัก ขึ้นต้นด้วย 9 เช่น 9xxxx

ฉลากผลไม้ GMO (ผลไม้ที่ปลูกโดยใช้พันธ์ที่ผ่านการดัดแปลงทางพันธุกรรม)
- มีตัวเลขห้าหลัก ขึ้นต้นด้วย 8 เช่น 8xxxx

ดังนั้นครั้งต่อไปที่คุณจะเลือกซื้อผลไม้ จำไว้ว่าตัวเลขสำคัญที่คุณควรรู้ เพื่อจะหลีกเลี่ยงการซื้อผลไม้ที่มีสารเคมีและผลไม้ GMO


ดังนั้น ถ้าคุณเห็นแอปเปิ้ล ที่มีรหัส 4922 แปลว่า แอปเปิ้ลนี้เป็นแอปเปิ้ลทั่วๆไป ที่ปลูกด้วยการใส่ปุ๋ยปกติ

ถ้าแอปเปิ้ลติดสติ๊กเกอร์ มีรหัส 99222 แสดงว่าเป็นแอปเปิ้ลที่ปลูกโดยวิธีปลอดสารเคมี และปลอดภัย

ถ้าแอปเปิ้ลติดสติ๊กเกอร์ มีรหัส 89222 อย่าซื้อ!!!
แสดงว่าเป็นแอปเปิ้ลที่ผ่านการดัดแปลงทางพันธุกรรม(GMO)

เหตุผลของผู้หญิง

ผู้หญิงมักมีเหตุผลที่ฟังขึ้นเสมอ


บ่ายวันหนึ่งระหว่างหญิงสาวสวยกำลังซักผ้าอยู่ริมน้ำนั้นแปรงซักผ้าคู่มือก็หลุดมือจม
ลงน้ำไป หญิงสาวสวยก็ทำอะไรไม่ถูกได้แต่นั่งร้องไห้อยู่ริมน้ำ

ทันใดนั้นเองเทวดาก็ลอยขึ้นมาจากผิวน้ำแล้วถามว่า ' มีปัญหาอะไรรึ '
' แปรงซักผ้าดิฉันตกลงไปในน้ำแล้ว และตรงนี้น้ำลึกมาก
ต่อไปดิฉันจะเอาอะไรไปซักผ้าหาเลี้ยงลูกสามีได้หละท่าน '

เทวดาได้ยินดังนั้นก็ดำน้ำลงไปสักพักแล้วขึ้นมาพร้อมกับแปรงซักผ้าทองคำ
' เอ้าแปรงซักผ้านี้ใช่แปรงซักผ้าของเจ้าใช่รึไม่ ?' เทวดาถามหญิงสาวสวย
' ไม่ใช่ค่ะ '

เทวดาก็ดำน้ำลงไปอีกครั้งกลับขึ้นมากับแปรงซักผ้าเงิน
' เอ้าแล้วแปรงซักผ้านี้หละใช่ของเจ้ารึไม่ ?'
' ไม่ใช่ค่ะแปรงซักผ้าของดิฉันทำจากเหล็กมีด้ามไม้เก่าๆ ไม่ใช่แปรงซักผ้าเงิน แปรงซักผ้าทอง '

เทวดาจึงดำลงน้ำไปอีกครั้งแล้วกลับขึ้นมาพร้อมกับแปรงซักผ้าเหล็กคู่มือหญิงสาวสวย
' เอ้าแปรงซักผ้าของเจ้า แต่เราเห็นเจ้าเป็นคนดีซื่อสัตย์ไม่โกหก
เราจะให้แปรงซักผ้าเงิน กับแปรงซักผ้าทองคำแก่เจ้าไปด้วย
เพื่อตอบแทนในการที่เจ้าเป็นคนดี '
หญิงสาวสวยจึงรับแปรงซักผ้าไว้แล้วกลับบ้านด้วยความสุข

หนึ่งเดือนต่อมา ............

ระหว่างที่หญิงสาวสวยกำลังเดินเล่นอยู่ริมน้ำพร้อมกับสามีของเธออยู่นั้น
สามีก็ลืนตกน้ำไป หญิงสาวสวยทำอะไรไม่ถูกได้แต่นั่งร้องไห้ริมน้ำ

ทันใดนั้นเทวดาองค์เดิมก็ปรากฏกายออกมาอีกครั้ง
' เอ้าคราวนี้เจ้ามีปัญหาอะไรรึ '
' สามีดิฉันลื่นตกน้ำไปเมื่อกี้นี้ค่ะ '

ได้ยินดังนั้นเทวดาจึงดำน้ำลงไป และขึ้นมาพร้อมกับผู้ชายคนหนึ่งที่เหมือนกันกับพี่เคน ธีรเดช วงษ์พัวพันธุ์
ตั้งแต่หัวจรดเท้า ' ผู้ชายคนนี้ใช่สามีเจ้ารึไม่ ?'

'ใช่แล้วค่ะ ' หญิงสาวสวยตอบทันที

เทวดาจึงโกรธมาก เพราะเห็นว่าหญิงสาวสวยโกหก และไม่ซื่อสัตย์เหมือนก่อน

' ขออภัยด้วยค่ะท่านเทวดา มันเป็นการเข้าใจผิดค่ะ '

หญิงสาวสวยรีบชี้แจงทันใด

'ถ้าเกิดดิฉันตอบว่าไม่ใช่ ดิฉันเดาว่าท่านก็คงจะลงไปในน้ำอีกครั้ง

แล้วกลับขึ้นมาพร้อมกับผู้ชายที่เหมือนกับ มาริโอ้

และเมื่อดิฉันปฏิเสธอีกท่าก็คงจำดำลงไปอีกครั้งแล้วนำสามีดิฉันตัวจริงขึ้นมา
สุดท้ายท่านก็คงจะให้ผู้ชายอีก 2 คนดิฉันด้วย
เพื่อตอบแทนที่ดิฉันไม่โกหก

แต่ว่า .... ดิฉันเป็นแค่หญิงสาวสวยจะมีปัญญาอะไรไปหาเงินเลี้ยงสามีพร้อมกัน 3 คนได้หละค่ะ (รับไม่ไหวค่ะ ได้ทีละคน)
ดิฉันจึงจำเป็นต้องตอบว่าใช่ตั้งแต่แรก '

เทวดา ' เออ!!!จริงของมึง '

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า เมื่อใดที่ผู้หญิงโกหก

แสดงว่าหญิงผู้นั้นจะต้องมีเหตุผลจำเป็นในการโกหก และมีเจตนาดีอย่างแน่นอน 555555.. 555

ข้อคิดเพื่อครอบครัว

“ ข้อคิดเพื่อครอบครัว ” อ . เกรียงศักดิ์ เจริ ญวงศ์ศักดิ์

1. ข้อสำคั ญของการเลือกคู่ คือ เราไม่ได้เลือกใครเพราะเขาสมบูรณ์แบบ แต่เพราะเขามีจุดดีหลัก ๆที่เราประทับใจ
ส่วนจุดอ่อนด้อยนั้นเป็นส่วนปลีกย่อยที่เรา สามารถยอมรับได้อย่างไม่ยากเย็น

2. ในความเป็นจริง ไม่มีใครดีเลิศสมบูรณ์แบบ ถ้าเรามอง ไม่เห็นจุดอ่อนด้อยของเขาเลย นั่น แสดงว่า
เรายังไม่รู้จักเขาอย่างแท้จริง หรือไม่ เราก็กำลังตกอยู่ในความหลงใหล . จนไม่ลืมหูลืมตา

3. การแต่งงาน คือ การผูกพันกันด้วยหัวใจ ไม่ใช่เพียงร่างกายและยิ่งไม่ใช่การแลกเปลี่ยนผลประโยชน์เชิงธุรกิจ

4. คนที่แต่งงานเพราะความเหงา จะยิ่งเหงาหนักเป็น 2 เท่า แต่งงานแบบคลุมถุงชน ก็มีแนวโน้มว่า ชีวิตจะมืดมนไปอีกนาน

5. ความสุข ความทุกข์ ครึ่งหนึ่งอยู่ที่ชีวิตหลังแต่งงาน คิดให้ดีก่อนที่จะเลือกใคร มาเป็นคู่ชีวิต ...

6. บ้านจะเล็กหรือให ญ่ ไม่สำคัญ แต่ " ความรัก " ต้องให ญ่ที่สุดในบ้าน

7. คำว่า " รัก " พูดมากไป ย่อมดีกว่า พูดน้อยไป ...

8. เมื่อเรา ทำผิด .... จง " ขอโทษ " เมื่อเขา ทำผิด .... จง " ให้อภัย "

9. ชีวิตแต่งงาน คือ ชีวิตแห่งการปรับตัว ถ้าไม่คิดจะปรับตัวเข้าหาใคร อยู่เป็นโสดไป ก็ดีกว่า ...

10. ยอมเป็นผู้แพ้ ดีกว่า เป็นผู้ชนะที่ยืนอยู่ท่ามกลางซากชีวิตสมรสที่หักพัง ...

11. "แก้ตัว" .... ช่วยอะไรไม่ได้ "แก้ไข" ....... ช่วยได้ทุกอย่าง ...

12. เมื่อมีปั ญหาในครอบครัว อย่าลืมใช้ความรักและหลักเหตุผลเป็นกรรมการตัดสิน ไม่ใช้ อารมณ์ หรืออาวุธ ..

13. งอนแต่พองาม ... ก็งามดี แต่งอนเกินพอดี ก็เกินงาม ...

14. ต่างคนต่างแข็ง ไม่มีใครยอมอ่อนข้อต่อกัน ... บ้าน ... ก็ คงไม่ต่างอะไรกับสนามรบ

15. เมื่อสามีอ่อนแอ ไม่รับบทบาทผู้นำ ความสับสนวุ่นวาย ก็ตามมา หรือเมื่อภรรยา พยายามแย่งบทบาทการนำจากสามี
ชีวิตครอบครัวก็รอดยาก

16. ความไม่ซื่อสัตย์ ต่อกันเพียงครั้งเดียว ก็อาจสั่นคลอนความไว้วางใจที่มีให้กันได้ ท้ายที่สุด ชีวิตคู่ก็จบลงด้วย
ความแตกร้าว ยากเยียวยา

17. ความเห็นแก่ตัว สนใจแต่ปัญ หา อารมณ์ ความรู้สึก และความสนใจของตัวเองชีวิตคู่ ก็อยู่ด้วยกันยาก

18. ก่อหนี้สินจนล้นพ้นตัว ครอบครัวก็มีแต่ความตึงเครียดทุกเช้าเย็น

19. เมื่อฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด หรือทั้งสองฝ่ายเรียกร้องและคาดหวังจากกันและกันมากเกินพอดี ปัญ หาก็จะมีเรื่อยไป … ไม่สิ้นสุด

20. ควรตระหนักว่า ... ภรรยา ไม่ใช่ผู้ปรนนิบัติรับใช้สามี แท้จริงแล้ว สามีภรรยา ควรเอาใจใส่ดูแลกันและกันอย่างดีที่สุด
... ย่อมดีกว่า

21. ไม่มีอะไร ทำให้ภรรยาปวดร้าวใจ มากเท่าการค้นพบว่า สามีมีหญ ิงอื่นในหัวใจ

22. รักเดียว ... ใจเดียว ไม่ใช่เรื่องเชย แต่เป็นเรื่องดีที่ สามีทุกคนในโลกควรกระทำ

23. การขอโทษภรรยาเมื่อทำผิด ไม่ใช่เรื่องเสียศักดิ์ศรี แต่เป็นศักดิ์ศรีของสามี ... ที่แท้จริง

24. ไม่ควรมองว่า งานดูแลบ้าน เป็นความรับผิดชอบของภรรยา สามีควรมีส่วนช่วยแบ่งเบาภาระอย่างสุดความสามารถเสมอ

25. สรีระรูปร่างหน้าตา ที่เปลี่ยนไปของภรรยา ไม่ควรเป็นเหตุให้ความรักในหัวใจของสามีจืดจางลงแม้แต่น้อย

26. ควรระลึกอยู่เสมอว่า ... การนำครอบครัวนั้น คือ การนำโดยเห็นผลประโยชน์ของครอบครัวเป็นหลักไม่ใช่
เพื่อความสุข ความพึงพอใจของตนเอง

27. ภรรยาที่ดี ควรสนับสนุนสามีให้ก้าวไกลในชีวิต ไม่ใช่ดึงรั้งให้หยุดอยู่กับที่ หรือถอยหลัง

28. ภรรยาที่ดี ไม่ควรใช้วิธีการบีบบังคับทั้งทางตรงและทางอ้อมเพื่อให้สามีตัดสินใจตามความคิดของตน

29. ในสถานการณ์หน้าสิ่ว หน้าขวาน สามีต้องการภรรยาที่สงบนิ่ง ช่วยกันคิดหาทางออก ไม่ใช่ภรรยาที่เอาแต่โวยวาย
ตีโพย ตีพายหรือร้องไห้ฟูมฟาย โดยปล่อยให้เขาต้องแบกภาระหนักอึ้งเพียงลำพัง

30. การไม่ตีลูก เพราะกลัวลูกเจ็บ เมื่อยังเป็นเด็ก กลับจะ ทำให้เขาเจ็บปวดยิ่งกว่า เมื่อเขาโตขึ้นเป็นผู้ให ่ญที่สร้างปั ญหา
และถูกลงโทษ ... จากสังคม

31. ช่องว่างระหว่างวัย .. ระหว่างรุ่น ... ย่อมไม่มี ถ้าพ่อแม่ตระหนักถึงความสำคัญ และใช้ความพยายามที่มากพอ
วิธีที่ดีที่สุด คือ พ่อแม่ควรวางแผนเพื่อป้องกันปัญ หาที่อาจเกิดกับลูก ไม่ใช่ตามแก้ปัญ หาเมื่อเกิดขึ้นแล้ว

32. พึงตระหนักว่า ลูกไม่ใช่ดินน้ำมัน ที่พ่อแม่ อยากจะปั้นให้เขาเป็นอะไรก็ได้ตามใจชอบ เขาย่อมมีจิตใจที่มีเอกลักษณ์
แห่งความชอบ ความสนใจที่แตกต่างไปจากพ่อแม่ได้เสมอ

ยึดติด ไม้เขี่ยหมาเน่า

ฉันได้ฟังปริศนาธรรมเรื่องนี้จากคุณแม่
ซึ่งพระอาจารย์ประสงค์ ปริปุณฺโณ
จากวัดป่าชิคาโก ท่านกรุณาเทศน์ให้ฟัง
พระอาจารย์เริ่มเรื่องด้วยคำถามว่า...

"ถ้ามีหมาเน่า ลอยน้ำมาติดที่หน้าบ้านของเรา เราจะทำยังไง"


ทุกคนตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า...
"ให้เอาไม้เขี่ยมันออกไป"



พระอาจารย์ก็ถามต่อว่า...
"เขี่ยเสร็จแล้ว หมาเน่าลอยไปแล้ว ไม้นั้นเราทำยังไง"


ทุกคนก็ตอบเป็นเสียงเดียวกันอีกว่า...
"ก็ต้องโยนทิ้งไป"


คราวนี้พระอาจารย์ก็บอกว่า...


"นั่นแหละ มีคนบางพวก ไม่ยอมทิ้งไม้เขี่ยหมาเน่านั้นไปเฉยๆ ไม่รู้เสียดายอะไร ทั้งๆ ที่รู้ว่าเหม็น แต่ก็หยิบกลับขึ้นมาดมอยู่เรื่อย ไม้เขี่ยหมาเน่าๆ เหม็นๆ น่ะ"

พระอาจารย์เล่าเรื่องจบเพียงแค่นี้ ทิ้งไว้เป็นปริศนาธรรมให้เอามาคิดต่อ

เห็นด้วยกับฉันมั้ย คนที่รู้ทั้งรู้ว่าไม้เหม็น แต่ก็ยังเก็บมาดมอยู่ได้เนี่ย...


"ไม่โง่ก็โรคจิตนะ"

- : - : - : - : - : - : - : - : - : - : - : - : - : - : - : - - : - : - : - : - : - : - : - : - : - : - : - : - : - : - : - - :

เคยเป็นบ้างมั้ย เวลามีใครมาทำให้เราโกรธ
จนเรื่องต่างๆ เหตุต่างๆ ที่ทำให้เราโกรธมันดับไปหมดแล้ว แต่เราก็ยังเก็บมาคิดมาแค้นอยู่นั่นแหละ ไม่รู้เสียดายอะไร...

ทั้งๆ ที่รู้ว่าทำให้เป็นทุกข์ แต่ก็เก็บความคิดแค้นมาเผาใจอยู่เรื่อยๆ

หรือไม่ต้องเรื่องความโกรธก็ได้ เรื่องอะไรๆ ที่มันผ่านไปแล้ว แต่หลายครั้ง เราก็ยังเก็บโน่นเก็บนี่มาคิด มากังวล มาเสียใจ...อะไรก็แล้วแต่
ฉันคนหนึ่งล่ะ ที่เคยเป็น แล้วฉันก็คิดว่า ทุกคนก็คงเคยเป็น

คราวหลังถ้าเป็นอีก ลองบอกตัวเองสิว่า...
"แน่ะ หยิบไม้เขี่ยหมาเน่ามาดมอีกแล้วนะเรา"
ดูซิว่า ยังจะอยากเก็บไม้เหม็นๆ ไว้ดมอีกมั้ย...

I love you

คำซึ้งๆ ที่หลายคนละเลย..."ฉันรักเธอ" วันนี้ ท่านพูดกันหรือยัง?

เมื่อตอนอายุ 5 ปี ..
ฉันบอกว่า..ฉันรักเธอ
เธอเอียงคอน้อยๆ ..
กระพริบตา-อันกลมโตของเธอ ..
แล้วถามฉันว่า …
“หมายความว่า..อะไรหรือ?”
----------
เมื่อตอนอายุ 15 ปี
ฉันบอกว่า...ฉันรักเธอ
เธอหน้าแดงก่ำ
..ก้มหน้า-เล่นชายเสื้อเธอเอง
รู้สึกว่า..เธอกำลังยิ้มอยู่

----------

เมื่อตอนอายุ 20 ปี
ฉันบอกว่า..ฉันรักเธอ
เธอซบลงบนไหล่ฉัน ..กอดแขนฉันไว้แน่น
ราวกับกลัวว่า...ฉันจะหายจากไป..ต่อหน้าเธอ

----------

เมื่อตอนอายุ 25 ปี
ฉันบอกว่า...ฉันรักเธอ
เธอวางอาหารเช้าไว้บนโต๊ะ ..
แล้วเดินมาดึงจมูกฉัน...พร้อมกับพูดว่า...
“รู้แล้ว! ตื่นขึ้นมาได้แล้ว ..จะนอนไปถึงไหน?”

----------

เมื่อตอนอายุ 30 ปี
ฉันบอกว่า..ฉันรักเธอ
เธอหัวเราะ..แล้วพูดว่า
“ถ้าเธอรักฉันจริงๆ
..เลิกงานแล้ว..ก็อย่าเถลไถลไปที่อื่นสิ
แล้วก็..อย่าลืมซื้อกับข้าวมานะ!”

----------

เมื่อตอนอายุ 40 ปี
ฉันบอกว่า..ฉันรักเธอ
เธอเก็บจานชามบนโต๊ะไปล้าง...พร้อมกับพูดว่า
“รู้แล้ว.. รู้แล้ว...รีบๆไปสอนการบ้านให้ลูกไป!”

----------

เมื่อตอนอายุ 50 ปี
ฉันบอกว่า..ฉันรักเธอ
เธอนั่งถักเสื้ออยู่ ..แล้วพูดกับฉัน..โดยที่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา
“จริงหรือ? ในใจเธอ..ไม่ใช่คิดอยากจะให้ฉันตายเร็วๆรึไง?”
แล้ว..เธอก็หัวเราะไม่หยุด

----------

เมื่อตอนอายุ 60 ปี
ฉันบอกว่า..ฉันรักเธอ
เธอหัวเราะ-พลางทุบไหล่ฉัน
“ตาบ้า! ลูกๆก็โตกันหมดแล้ว..
ยังจะมาทำปากหวานอีก!”

----------

เมื่อตอนอายุ 70 ปี
เรา..นั่งอยู่บนเก้ายาว ..ทบทวนจดหมายรัก...
ที่ฉันเขียนให้เธอ...เมื่อ 50 ปีก่อน..ด้วยกัน
มืออันเหี่ยวย่น-ของเราสองคน..ก็จับกันไว้ตลอด
เมื่อฉันบอกว่า..ฉันรักเธอ
เธอมองหน้าฉัน-แล้วยิ้มให้
ถึงแม้ใบหน้าเธอ..จะเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น
แต่..เธอก็คงยังแลดูสวยงาม..เสมอ

----------

เมื่อตอนอายุ 80 ปี
เธอบอกว่า..เธอรักฉัน
แต่..ฉันไม่ได้พูดอะไร-สักคำ
เพราะว่า..ฉันร้องไห้ออกมา
นี่..เป็นวันที่ฉันมีความสุข..มากที่สุดในชีวิต
เพราะว่า..
ในที่สุด..เธอก็ยอมพูดออกมาว่า..
“ฉัน รัก เธอ”