
การ "อุ้มบุญ" หรือการตั้งครรภ์แทน ไม่ใช่ประเด็นที่ชัดเจนสำหรับครอบครัวไทย แม้แต่คู่สมรสที่ประสงค์รับบริการก็ยังไม่เข้าถึงข้อมูลและบริการได้เต็มที่
ช่องโหว่เหล่านี้ทำให้เกิดข่าวแพทย์ทำผิดจรรยาบรรณ ทารกไม่มีพ่อแม่ตามกฎหมาย หรือแม่ ซึ่งรับ "ฝากบุญ" เกิดความผูกพันกับเด็กและนำทารกหนีหายปล่อยให้พ่อแม่ตัวจริงต้องเจ็บช้ำ เสียทั้งเงินเสียทั้งดวงใจ
ในปีนี้ คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการสืบพันธุ์ทางการแพทย์ หรือเด็กอุ้มบุญแล้ว เหลือแต่รอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาเห็นชอบเป็นอันเสร็จกระบวนการ
ด้านศูนย์สื่อสารวิทยาศาสตร์ไทย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ หรือ สวทช. จัดเสวนา "360 องศากับปัญหาแม่อุ้มบุญ" เพื่อวิเคราะห์ผลดีผลเสีย เชิญ ศ.น.พ.วิฑูรย์ อึ้งประพันธ์ ที่ปรึกษาศูนย์กฎหมายสุขภาพ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ น.พ.สมชาย สุวจนกรณ์ สูตินรีแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญรักษาปัญหาผู้มีบุตรยาก โรงพยาบาลพระรามเก้า และนางเอ (นามสมมติ) คุณแม่ผู้มีประสบการณ์ตรงเคยใช้บริการแม่อุ้มบุญมาร่วมสะท้อนเสียงแก่สังคมไทย ร่วมเสวนา
ศ.น.พ.วิฑูรย์ กล่าวว่า ร่างกฎหมายฉบับนี้จะช่วยคู่สมรสที่ใช้บริการแม่อุ้มบุญสะดวก ปลอดภัย และถูกกฎหมายยิ่งขึ้น เนื่องจากปัจจุบันกฎหมายระบุว่าหญิงที่คลอดบุตรคือมารดา ขณะที่พ่อแม่เจ้าของพันธุกรรมกลับเป็นได้แค่พ่อแม่บุญธรรม รวมทั้งที่ผ่านมามีพ่อแม่บางรายลักลอบจดทะเบียนบุตรซึ่งถือเป็นการแจ้งความเท็จทั้งสิ้น
"แม้ปัจจุบันเราจะมีประกาศแพทยสภาฉบับที่ 1/2540 และ 2/2540 เพื่อบังคับใช้อยู่แล้ว แต่กฎหมายใหม่นี้จะช่วยให้ข้อบังคับและบทลงโทษชัดเจนขึ้น โดยกำหนดคุณสมบัติของแพทย์ผู้ให้บริการคู่สมรสต้องจดทะเบียนถูกต้อง หญิงที่รับฝากครรภ์ต้องไม่ใช่บุตรของสามีหรือภรรยา และต้องผ่านการมีบุตรแล้ว เพื่อให้มีประสบการณ์ตรงในการเลี้ยงดูเด็ก ที่สำคัญร่างกฎหมายใหม่ระบุว่าเมื่อเด็กคลอด ถือเป็นบุตรของคู่สมรสทันที" ทั้งนี้น.พ.วิฑูรย์ ชี้แจงว่า ข้อกำหนดบางอย่าง เช่น การไม่ให้ผู้รับอุ้มบุญเป็นบุตรของคู่สามีภรรยา เพื่อให้เข้ากับสภาพสังคมและศีลธรรมของไทย
ประเด็นที่ถกเถียงกันมากคือ การห้ามจ้างวานแม่อุ้มบุญ เพราะแม้กฎหมายจะเจตนาไม่ให้เกิดการกระทำในรูปแบบการค้า แต่หลายฝ่ายเห็นว่าเป็นการจำกัดวงบุคคลที่จะมาเป็นแม่อุ้มบุญอย่างมาก เพราะนอกจากญาติพี่น้องแล้ว คงยากที่หาใครมาเจ็บตัวกว่า 9 เดือนแทนคนที่ไม่รู้จักมักจี่อย่างไร้ผลตอบแทน
กฎหมายเข้มทำหมอเกร็ง
ตัดโอกาสคนรับบริการ
ด้านน.พ.สมชายเห็นว่า แม้ร่างกฎหมายนี้จะทำให้เกิดความชัดเจนในการอุ้มบุญมากขึ้น แต่ยังคลุมเครืออีกหลายจุด เช่น อายุของหญิงที่มาอุ้มบุญ คุณสมบัติคู่สมรส และความยุ่งยากในการนำตัวอ่อนที่เหลือจากการผสมเทียมไปใช้เพื่อการทดลองทางการแพทย์ ซึ่งอาจทำให้แพทย์ที่มีความสามารถกลัวบทลงโทษจนหลีกเลี่ยงการทำวิจัยหรือให้บริการคนไข้
"ในสมัยก่อน การอนุญาตให้บริการแม่อุ้มบุญอยู่ในดุลพินิจของแพทย์ ซึ่งทุกคนล้วนแต่มีแนวคิดที่พยายามให้คุณแม่ตั้งครรภ์ด้วยตัวเองก่อน จนล้มเหลวถึงที่สุดแพทย์จึงใช้วิธีแม่อุ้มบุญ แต่เมื่อมีกฎหมายใหม่มาครอบคลุม แพทย์ต้องบริการอย่างระมัดระวังมาก เพราะต้องระวางโทษจำคุกและปรับร้ายแรง" น.พ.สมชายกล่าวและเล่าว่า จากประสบการณ์ตรงที่ตนรักษาผู้มีบุตรยาก บางครั้งผู้รับบริการมีข้อจำกัดมากมาย และมีความละเอียดอ่อนมากเกินกว่าที่กฎหมายระบุ หากแพทย์ไม่มีอำนาจใช้ดุลพินิจเองบ้างอาจตัดโอกาสคนไข้หลายรายที่อยากเข้ารับบริการจริงๆ
แม่วานอุ้มบุญปวดใจ
ลูกกลายเป็นตัวประกัน
นางเอ (นามสมมติ) คุณแม่ที่เคยใช้บริการแม่อุ้มบุญ ให้ข้อมูลว่าหลังจากเสียค่าใช้จ่ายหลายแสนบาทและรอคอยหลายปี ในที่สุดแพทย์อนุญาตให้ตนใช้บริการแม่อุ้มบุญ แต่เมื่อพาญาติทั้ง 3 คนมาตรวจร่างกายพบว่าไม่มีใครสามารถเป็นแม่อุ้มบุญได้ จึงต้องว่าจ้างเพื่อนบ้านด้วยเงินหลักแสนมาอุ้มบุญ ผลปรากฏว่าช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาเป็นเวลาที่เธอทรมานใจมากที่สุด
"หลังจากผ่านไปสี่เดือน เขาเริ่มตั้งแง่กับเรา ให้เราไปกู้ยืมเงินมาให้หรือพยายามขอเงินเพิ่ม พอเราไม่ให้เขาก็แกล้งไม่ดูแลลูกเรา ทำร้ายลูกเรา เขาทำแบบนี้ทำให้เราเจ็บปวดมาก เหมือนเอาเด็กในท้องเป็นตัวประกัน" นางเอกล่าวและให้ความเห็นต่อไปว่า หากมีกฎหมายอุ้มบุญที่ชัดเจนออกมาถือเป็นเรื่องดี เพราะทำให้หญิงจำนวนมากใช้บริการได้ อย่างเปิดเผยและอุ่นใจเพราะมีกฎหมายคุ้มครอง
หน้า 25
























ลองมาดูกันว่าอะไรบ้างที่เป็นพฤติกรรมทำร้ายสมอง?
1. ไม่ทานอาหารเช้า นอกจากทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำแล้วยังเป็นเหตุให้สารอาหารไปเลี้ยงสมอง ไม่เพียงพอ
2. กินอาหารมากเกินไป จะทำให้หลอดเลือดแดงในสมองแข็งตัว เป็นเหตุให้เกิดโรคความจำสั้น
3. สูบบุหรี่ เป็นสา-เหตุให้สมองฝ่อและโรคอัลไซเมอร์
4. ทานของหวานมากเกินไป ของหวานจะไปขัดขวางการดูดกลืนโปรตีนและสารอาหารที่เป็นประโยชน์ เป็นสาเหตุของการขาดสารอาหารและขัดขวางการพัฒนาของสมอง
5. มลภาวะ สมองเป็นส่วนที่ใช้พลังงานมากที่สุดในร่างกาย การสูดเอาอากาศที่เป็นมล-ภาวะเข้าไปจะทำให้ออกซิเจนในสมองมีน้อย ส่งผลให้ประสิทธิภาพของสมองลดลง
6. การอดนอน ถ้าอดนอนเป็นเวลานานจะทำให้เซลล์สมองตายได้
7. นอนคลุมโปง การนอนแบบนี้จะเพิ่มคาร์บอนไดออกไซด์ให้มากขึ้น และลดออกซิเจนให้น้อยลงส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของสมองไปในตัว
8. ใช้สมองในขณะที่ไม่สบาย การทำงานหรือเรียนขณะกำลังป่วย จะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของสมองลดลงเหมือนกับการทำร้ายสมองไปในตัว
9. ขาดการใช้ความคิด การคิดเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในการฝึกสมอง การขาดการใช้ความคิดจะทำให้สมองฝ่อ
10. เป็นคนไม่ค่อยพูด ทักษะการพูดเป็นตัวแสดงถึงประสิทธิภาพของสมองนิสัยทำร้ายสมองทั้งสิบอย่าง นี้คัดมาฝากกันจาก “ต้นคิด” จดหมายข่าวรายเดือน ของสำนักงานพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสารสุขภาพ เพื่อจะได้ช่วยกันหลีกเลี่ยงพฤติกรรมทำร้ายสมองของตัวเอง
ที่มา : ไทยรัฐ