วันอังคารที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ชะตากรรม ของ ชาร์ล โสภราช


ชะตากรรม ของ ชาร์ล โสภราช

อาหารสมอง วีรกร ตรีเศศ Varakorn@dpu.ac.th มติชนรายสัปดาห์ วันที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2547 ปีที่ 24 ฉบับที่ 1255

ท่านผู้อ่านจำนวนไม่น้อยคงจำชื่อฆาตกรข้ามชาติกระเดื่องนามที่ฆ่าคนมานับสิบๆ ที่เริ่มการฆ่า (เท่าที่รู้) จากประเทศไทยเมื่อหลายสิบปีก่อน ชื่อ ชาร์ล โสภราช (Charles Sobhraj) ผมได้อ่านหนังสือประวัติชีวิตของเขาและติดตามอยากรู้มาตลอดกว่า 20 ปี ถึงชะตาชีวิตและความก้าวหน้า (ถอยหลัง) ของเขา ล่าสุดมีข่าวสำคัญเกี่ยวกับตัวเขาครับ

คนไทยอาจลืมชื่อโสภราชไปแล้ว (รูมเมตที่บ้านผม อดีตบัณฑิตเศรษฐศาสตร์ตอบคำถามของผมที่ว่าโสภราชคือใคร โดยบอกว่าเป็นนักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเปิล) แต่ต่างชาติไม่ลืม ยังติดตามชีวิตที่ชั่วร้าย และไม่ลืมชื่อเสียงที่เสียของตำรวจไทยในเรื่องที่เกี่ยวกับเขาด้วย

ชื่อของโสภราชปรากฏเป็นข่าวดังในหนังสือพิมพ์ไทย เมื่อเกิดคดีฆาตกรรมหนุ่มสาวดัชต์คู่หนึ่งในกลางเดือนธันวาคม 2518 โดยเผาศพจนมอดไหม้หมด และพบอีก 5 ศพของนักท่องเที่ยวต่างประเทศในช่วงไม่กี่เดือนก่อนหน้านั้น ผู้ต้องสงสัยก็คือ ชาร์ล โสภราช ผู้อยู่อาศัยในตึกอพาร์ตเม้นต์เดียวกับผู้ตาย 5 รายแรก

เขาถูกจับโดยตำรวจไทยไม่กี่ชั่วโมงก็ปล่อยตัว จึงเผ่นหนีไปเนปาล โสภราชเขียนเล่าอย่างขบขันถึงความไร้ประสิทธิภาพของตำรวจไทย และการให้เงินสดติดสินบนก้อนใหญ่จนสามารถหลบหนีออกนอกประเทศโดยใช้พาสปอร์ตของเหยื่อ

เมื่อถึงกาฐมาณฑุ ประเทศเนปาล โสภราชก็ก่อเรื่องอีก ด้วยการแทงนักท่องเที่ยวอเมริกันหญิงตาย และก่อนหน้านั้นหนึ่งวันก็ฆ่าแฟนชาวแคนาเดียนของเธอด้วยในปลายเดือนธันวาคม 2518

หลังจากนั้นไม่นานโสภราชก็ไปสร้างข่าวฮือฮาเป็น serial killers (นักฆ่าต่อเนื่อง) ในอินเดีย ด้วยการฆ่านักท่องเที่ยวฝรั่งเศสและอิสราเอล และมอมยานักท่องเที่ยวฝรั่งเศสทั้งกรุ๊ปทัวร์ 22 คน เพื่อขโมยทรัพย์สิน

ในเดือนกรกฎาคม 2519 เขาก็ถูกตำรวจอินเดียจับได้ ขึ้นศาล ถูกจำคุกคดีฆ่าและมอมยา 12 ปี ในเดือนมีนาคม 2529 ก่อนติดคุกครบ เขาก็หนีคุกอินเดียได้สำเร็จ แต่ต่อมาก็ถูกจับได้ในอินเดียและถูกจำคุกอีก 10 ปี ซึ่งทำให้เขาสามารถหลุดพ้นจากการถูกส่งข้ามแดนมาขึ้นศาลคดีร้ายแรงฆ่า 7 ศพในประเทศไทย ซึ่งมีโทษถึงประหารชีวิต

หลังจากติดคุกจนครบ 10 ปี เขาออกมาเป็นอิสระในเดือนกุมภาพันธ์ 2540 ผู้คนก็ลืมคดีและความชั่วร้ายของเขาไปชั่วขณะ และที่สำคัญก็คือ คดีฆาตกรรมในประเทศไทยหมดอายุความไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ฟ้าดินยังให้ความยุติธรรมอยู่ เพราะอายุความของคดีเนปาลเมื่อ พ.ศ.2518 ยังไม่หมดลง

โสภราช เป็นลูกครึ่งเวียดนาม-อินเดีย เกิดในสลัมฮานอย เข้าใจว่าแม่มีอาชีพที่เขาไม่อยากเปิดเผย ชีวิตเติบโตด้วยการต่อสู้ ปากกัดตีนถีบ แต่เขาเป็นคนทะเยอทะยาน และมีความมุมานะ (ในทางชั่ว) คบค้ากับฝรั่งจนสามารถพูดได้ถึง 5 ภาษา

บุคลิกที่ดี หน้าตาที่หล่อเหลา พูดจาโน้มน้าวคนเก่ง ฉลาด และกิริยามารยาทนิ่มนวล เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เขาหลอกลวงคนได้มากมาย จนถึงฆ่าเพื่อปลดทรัพย์ วิธีการที่เขาถนัดคือการใช้ยานอนหลับใส่อาหารเพื่อปลดทรัพย์ หากต่อสู้ขึ้นมาก็ฆ่า

หนังสือชีวประวัติของเขา 4 เล่ม และสารคดีทีวี 3 ชุดเกี่ยวกับชีวิตเขาโดยมาจากคำให้สัมภาษณ์ขายดีติดอันดับโลก จนเรียกได้ว่าเขาเป็นคนดังระดับโลกทีเดียว

เรื่องทั้งหมดคงจะจบลงแค่นี้ "ความยุติธรรมปลอม" ก็คงจะเป็นว่าเขาติดคุกรวม 20 ปี สำหรับการฆ่าคนนับสิบราย และฆ่า 7 คนในประเทศไทยโดยไม่ถูกลงโทษแต่ประการใด

แต่ "ความยุติธรรมจริง" ไม่จบลงแค่นั้น เพราะมีคนชื่อ Herman Knippenberg อยู่ในโลก

Knippenberg เป็นเจ้าหน้าที่ของสถานทูตเนเธอร์แลนด์ประจำประเทศไทย เมื่อเกิดเหตุการณ์ฆ่าหนุ่มสาวนักท่องเที่ยวชาวดัชต์ในไทยใน พ.ศ.2518 เขาผู้อยู่ในวัย 32 ปี ถูกสั่งให้สืบสวนหาความจริงคดีนี้ เขาทุ่มเทสุดชีวิตและเจ็บปวดที่ตำรวจไทยไม่สนใจคดีนี้เท่าที่ควร

เขากับเพื่อนในสถานทูตเบลเยียมและอเมริกันที่มีคนของตนถูกฆ่าร่วมมือกันสืบสวนและสอบสวนจนมั่นใจว่าคนฆ่าเป็นคนเดียวกัน เขาเดินทางไปเก็บหลักฐานในหลายแห่งจนสามารถผลักดันให้ตำรวจไทยขยับได้บ้างในที่สุด

ความมุ่งมั่นของเขาในการสอบสวนทั้งๆ ที่ไม่ใช่ตำรวจ ทำให้ได้หลักฐานว่าในคดี 7 ศพในไทยโสภราชเป็นฆาตกรและมีเพื่อนร่วมมืออีก 2 คน (คนหนึ่งเป็นแฟนเขาที่เป็นชาวคานาเดียน ปัจจุบันตายแล้วด้วยโรคมะเร็ง ส่วนอีกคนหายตัวไป)

เมื่อตำรวจไทยปล่อยตัวโสภราชหนีไปแล้ว เขาพาตำรวจไปค้นบ้านโสภราชก็พบทรัพย์สินของเหยื่อหลายคน พบหยูกยาหนักถึง 8 กิโลกรัม ซึ่งมีทั้งยาฉีด ยานอนหลับอย่างแรง และยาแก้ท้องเสียผสมยาฆ่าหนูด้วย

ความใจจดใจจ่อข้ามเวลานับสิบปีข้ามประเทศของ Knippenberg ทำให้เขาเก็บหลักฐานการฆาตกรรมของโสภราชไว้มากมาย และทำให้วิทยานิพนธ์ปริญญาเอกของเขาที่เกี่ยวกับการต่อสู้ผู้ก่อการร้ายของประเทศไทยไม่เสร็จ เขาให้คำแนะนำและหลักฐานแก่ตำรวจอินเดีย ไทย เนปาล

หลักฐานสำคัญมากมายในคดีเนปาลของเขาประกอบด้วยรูปถ่าย คำให้การของพยานอย่างกว้างขวาง ใบตรวจคนเข้าเมือง สำเนาพาสปอร์ต ฯลฯ เรียกได้ว่าถึงแม้คดีจะผ่านไปเกือบ 30 ปี แต่หลักฐานเหล่านี้ก็ยังอยู่ครบ

การรักความยุติธรรมและต้องการช่วยป้องกันชีวิตเหยื่อบริสุทธิ์ไว้ (เชื่อว่าจากการฆ่าในอัตรานี้ของโสภราช Knippenberg อาจช่วยชีวิตไว้ได้ถึง 50 คน) ผลักดันให้เขาหมกมุ่นในการนำตัวโสภราชมาลงโทษให้สาสม เขาผิดหวังในคดีจากฝ่ายไทยที่มีคนถูกฆ่าถึงอย่างน้อยเท่าที่ทราบ 7 คน แต่โสภราชกลับไม่ถูกลงโทษแม้แต่น้อย

คดีโสภราชนำชื่อเสียงด้านไม่ดีสู่ตำรวจไทยจนเป็นที่รู้จักกันดีในระดับโลก หนังสือ 4 เล่มของเขาและสารคดีทีวีเผยแพร่ทั่วโลกกล่าวถึงวีรกรรมของตำรวจไทยในสมัยนั้นในการช่วยคนผิด ทั้งตัวเขาเองและอาชญากรที่เขารู้จัก เรียกได้ว่าเป็นน้ำจิ้มก่อนสู่คดีเพชรซาอุฯ ที่ตำรวจไทยดังก้องโลกในเวลาต่อมาอีกครั้ง

ในหนังสือของโสภราชยุคก่อน 14 ตุลาคม ถึงหลัง 6 ตุลาคม อาชญากรต่างชาติเดินกันขวักไขว่ในไทยเพราะไม่เกรงกลัวการติดคุก ถึงถูกจับก็ปล่อยได้ไม่ยาก

นอกจากนี้ งานจารกรรมสารพัดลักษณะของหลายประเทศจากทุกค่ายก็คึกคักอย่างยิ่งในไทยอีกด้วย

สิ่งที่ Knippenberg สะใจก็คือ ชะตากรรมของโสภราชในขั้นสุดท้ายที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ เมื่อโสภราชเป็นอิสระจากคุกอินเดียใน พ.ศ.2540 ก็เดินทางไปอยู่อาศัยในชานเมืองปารีส เป็นเวลา 6 ปี

และเขาก็ได้กระทำสิ่งพลาดครั้งสำคัญในชีวิต คือเดินทางกลับไปเนปาล ดินแดนที่คดีความฆ่า 2 หนุ่มสาวเมื่อเดือนธันวาคม 2518 ยังไม่หมดอายุ

ในเดือนกันยายน 2546 เขาถูกจับในกาสิโนของโรงแรม Yak and Yeti กลางกรุงกาฐมาณฑุ หลังจากที่มีนักหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นพบเห็นเขาก่อนหน้า 2 วัน หลังจากสู้คดีความในศาลถึง 1 ปี ศาลก็ตัดสินให้จำคุกตลอดชีวิต ซึ่งแน่นอน หลักฐานที่ใช้เกือบทั้งหมดมาจาก Knippenberg ผู้กัดโสภราชอย่างไม่ปล่อย

Knippenberg บัณฑิตจากมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด เกษียณอายุจากชีวิตนักการทูตในวันเดียวกับที่โสภราชถูกจับในกาสิโน เขาบอกว่าเขาไม่มีอะไรขุ่นข้องหมองใจเป็นส่วนตัวกับโสภราช เขาทำเพราะต้องการความยุติธรรมและเพื่อป้องกันเหยื่อรายใหม่

ผู้คนสงสัยว่าโสภราชโง่เขลาหรืออย่างไรจึงกล้าบินกลับไปเนปาลทั้งที่รู้ว่ายังมีคดีค้างอยู่ ผู้รู้คาดเดาว่าโสภราชหยิ่ง ภูมิใจในความเก่งกาจของตนเองในการเอาตัวรอดมาตลอด ว่าจะสามารถจัดการคดีเก่าได้ และประการสำคัญ เขาอาจต้องการความสนใจจากผู้คน เพื่อขายหนังสือเล่มใหม่ของเขา

สิ่งที่โสภราชพลาดไปก็คือ ไม่รู้ว่ามีคนเช่น Knippenberg อยู่ในโลก และไม่รู้ว่ามีการเก็บหลักฐานคดีเก่าแก่นี้ไว้เป็นอย่างดี รอคอยความหยิ่งโอหังของเขาที่จะตามมาฆ่าเขาในที่สุด

เก่งเท่าเก่งแต่ถ้ามีคนรู้ทันและตามเก็บร่องรอยแบบกัดไม่ปล่อย ก็มีโอกาสบ้อท่าได้ไม่ยากนักเหมือนกัน

.http://www.nidambe11.net/ekonomiz/2004q3/article2004sep07p3.htm

...................................

14 กค. 2553 06:22 น.
ศาลสูงสุดเนปาลจะมีคำพิพากษาในวันพุธตามเวลาท้องถิ่น เรื่องคำยื่นฎีกาของชาร์ล โสภราชชาวฝรั่งเศสวัย 65 ปี และเขาอาจได้รับอิสรภาพหากศาลพลิกคำตัดสินลงโทษจำคุกเขานาน 20 ปี ในข้อหาสังหารโหดและเผาศพนักท่องเที่ยวแบบแบ็คแพกเกอร์ชาวอเมริกันคนหนึ่งในกรุงกาฏมัณฑุเมื่อปี 2518 โดยเขาถูกจับเมื่อ 6 ปีก่อนขณะหวนกลับไปที่เนปาลและถูกศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกตลอดชีวิต ส่วนศาลอุทธรณ์ลดโทษเหลือจำคุก 20 ปีในเวลาต่อมา
โสภราชยืนยันว่าตัวเองบริสุทธิ์และว่าเขาไม่เคยไปเนปาลก่อนหน้าถูกจับที่บ่อนคาสิโนในกาฎมัณฑุเมื่อปี 2546 แต่ตำรวจเกษียณอายุนายหนึ่งให้การต่อศาลว่าเคยพบเขาที่เนปาลเมื่อปี 2518 และผลการวิเคราะห์ลายมือบนบัตรลงทะเบียนเข้าพักที่โรงแรม 2 ใบในช่วงเกิดเหตุฆาตกรรมยืนยันว่าเป็นเขา คณะทนายความของโสภราชระบุว่า โสภราชผู้ฝึกฝนตัวเองจนเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านกฏหมายจะไม่ปรากฎตัวในศาล แต่จะได้รับแจ้งผลคืบหน้า
โสภราชเป็นฆาตกรต่อเนื่องผู้เคยดังมากทั่วโลกและในไทยช่วงทศวรรษที่ 1970 โดยเชื่อว่าเขาได้สังหารโหดนักท่องเที่ยวแบ๊คแพกเกอร์ทั่วเอเชียไปอย่างน้อย 12 คน และได้สมญานามว่าหรือ”นักฆ่าบิกินี” เพราะเหยื่อฆ่าโหด 2 คนจากหลายคนที่ถูกฆ่าที่ไทย ตายอยู่ในชุดบิกินี
โสภราชมีสมญานามว่า"อสรพิษ หรือ พญามาร"(The Serpent )ด้วย เพราะมีชื่อเสียงเรื่องปลอมตัว และศิลปะในการหลบหนี เคยหนีจากเรือนจำที่กรีซ อาฟกานิสถาน และอินเดีย ที่ซึ่งเขามอมผู้คุมด้วยขนมเคลือบยา เขาเคยพยายามจะหลบหนีจากเรือนจำเนปาลเมื่อพฤศจิกายน ปี 2547 ด้วยแต่เจ้าหน้าที่จับแผนการได้เสียก่อน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น