วันอาทิตย์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

พระไพศาล วิสาโล


วันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 34 ฉบับที่ 4228 ประชาชาติธุรกิจ

"พระไพศาล วิสาโล" ปฏิรูปวิถีไทย ๆ "ถ้าเราเรียนรู้ประวัติศาสตร์ ก็จะร่นเวลาเจ็บปวดลงได้"


"พระไพศาล วิสาโล" เจ้าอาวาสวัดป่าสุคะโต อำเภอแก้งคร้อ จังหวัดชัยภูมิ เป็นพระนักกิจกรรมที่ศึกษาสังคมการเมืองไทยมาตลอด หลังจบคณะศิลปศาสตร์ (ประวัติศาสตร์) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

นอกจากนี้ "พระไพศาล" ยังเป็นประธานเครือข่าย พุทธิกา และมีผลงานเขียนหนังสือและบทความอย่าง ต่อเนื่อง ทว่าช่วงหลังมานี้งานหลักของหลวงพี่ไพศาลก็คือ ศึกษาเรื่องการเผชิญความตายอย่างสงบและสันติวิธี

ล่าสุด "พระไพศาล" เข้าไปเป็นหนึ่งในคณะกรรมการปฏิรูปชุดนายอานันท์ ปันยารชุน โดยคนที่ชักชวนหลวงพี่ไพศาลเข้าร่วมคณะก็คือ อดีตนายกรัฐมนตรีอานันท์นั่นเอง

สังคมไทยจะปรองดองกันได้หรือไม่ ? แล้วจะปรองดองกันอย่างไร ? คณะปฏิรูปมีความหวังให้คนไทยรอคอย บ้างไหม ?

ผู้สื่อข่าวใช้เวลาสนทนาธรรมกับ "พระไพศาล" กว่า 1 ชั่วโมง ในประเด็นปัญหารากลึกของสังคม เศรษฐกิจการเมืองไทย ที่ต้องการการแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม ?

พระอาจารย์เข้าไปอยู่ในคณะกรรมการปฏิรูปชุดคุณอานันท์ได้อย่างไรครับ

คุณอานันท์โทรศัพท์ติดต่ออาตมา เพราะเคยทำงานร่วมกันในคณะกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติ (กอส.) แต่ก็ไม่ได้คุยอะไรกันมาก เพราะเมื่อเห็นรายชื่อคณะกรรมการก็รู้สึกว่าน่าจะทำงานด้วยกันได้ และไว้ใจ คุณอานันท์ก็เลยรับปาก

มีการประชุมคณะกรรมการบ้างหรือยัง

ประชุมไปแล้ว ได้คุยเปิดอกกันหลายเรื่อง คิดว่าความคิดเห็นน่าจะปรับไปในทิศทางเดียวกันได้ แต่ก็ยังไม่ลงตัวต้องประชุมกันอีกถึงทิศทางและกรอบการทำงาน แต่ขณะนี้ก็ใกล้จะเห็นภาพที่ชัดเจนแล้ว

กรรมการชุดนี้มีความหวังให้คนไทยได้รอคอยบ้างไหม

เรื่องการปฏิรูปจะว่าไปแล้วเป็นภารกิจของคนไทยทั้งประเทศ สิ่งที่กรรมการปฏิรูปจะทำได้ก็คือ นำเสนอแนวทางเพื่อสื่อสารกับสังคม ในที่ประชุมก็คุยกันมากว่า การปฏิรูปจะเป็นไปได้ก็ต้องเกิดจากการขับเคลื่อนของคนทั้งสังคม แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าเราจะนำเสนอแนวทางที่โดนใจสังคมได้มั้ย ไม่ใช่โดนใจแบบประชานิยมนะ แต่โดนใจในแง่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ ถ้าทำได้อาตมาก็เชื่อว่าสังคมพร้อมจะขับเคลื่อน

นั่นหมายความว่าจะทำอย่างไรให้สังคมทั้งสังคมรู้สึกว่าเป็นเจ้าภาพร่วมในการปฏิรูป ไม่ใช่คณะกรรมการปฏิรูป พูดอย่างนี้ หมายความว่าคณะกรรมการชุดนี้จะปฏิเสธ ความรับผิดชอบ แต่เราจะต้องทำให้ดีที่สุด

แล้วเราก็รู้ว่า สังคมไทยไม่รอให้ถึง 3 ปีหรอกว่าจะเห็นอะไรจากคณะกรรมการปฏิรูป สังคมไทยไม่รอนานขนาดนั้น ฉะนั้นในช่วง 5-6 เดือนจากนี้ไปก็ควรจะเห็นอะไร เป็นรูปเป็นร่างบ้างแล้ว แต่อาตมาก็ยอมรับว่า การปฏิรูป ไม่สามารถเกิดได้จากสถาบันที่มีอำนาจ หมายถึงว่าเขาจะไม่ริเริ่มทำด้วยตัวเอง แต่จะต้องมีการขับเคลื่อนจาก ภาคสังคมเข้ามาผลักดัน

การขับเคลื่อนครั้งนี้ ให้ชุมชนชนบทมีส่วนร่วมมาก

อาตมาคิดว่าคงมากกว่านั้น เพราะการปฏิรูปคราวนี้ถ้าเราจะไปตอบโจทย์เฉพาะคนระดับล่างอย่างเดียวคงไม่พอ แต่ต้องตอบโจทย์ชนชั้นกลางด้วย เพราะไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถเกิดแนวร่วมอย่างกว้างขวางที่จะร่วมกันปฏิรูปได้ คือเราไม่ได้ปฏิรูปคนยากจนเท่านั้น แต่ต้องปฏิรูปเพื่อ คนไทยทั้งประเทศ

ชนบทไทยเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยแค่ไหน

เปลี่ยนไปหลายด้าน ในด้านเศรษฐกิจก็เห็นได้ชัดว่า วิถีการดำเนินชีวิตของเขาค่อนข้างขยับเข้ามาใกล้ระดับชนชั้นกลางมากขึ้นในเรื่องของสไตล์การดำเนินชีวิต โทรทัศน์ที่เขาดูก็เป็นรายการเดียวกับที่ชนชั้นกลางในเมืองดู หรือ บ้านเรือนก็เริ่มมีความคล้ายเป็นทาวน์เฮาส์เหมือนในกรุงเทพฯมากขึ้น ไม่ต้องพูดถึงรถยนต์ ตู้เย็น เครื่องซักผ้า และสิ่งเหล่านี้จะตามมาพร้อมหนี้สิน

นอกจากนี้ ความคาดหวังของคนชนบทก็ใกล้เคียงกับคนชั้นกลางมากขึ้น แต่ความสามารถที่จะทำความใฝ่ฝันให้เป็นจริงมันยาก เพราะโครงสร้างสังคมไม่เอื้อให้เขามีความสามารถขนาดนั้น

สิ่งที่เห็นอีกประการก็คือ ซึ่งไม่แน่ใจว่าดีหรือร้ายก็คือ ความเป็นปัจเจกมีมากขึ้น ความเป็นชุมชนมีน้อยลง นอกจากนี้ครอบครัว แตกร้าวมากขึ้น อย่างเด็กในหมู่บ้านอาตมาจำนวนมากไม่มีพ่อหรือแม่อยู่ด้วยกัน อาจจะมีพ่อไม่มีแม่ หรือมีแม่แต่ไม่มีพ่อ และไม่มีทั้งพ่อและแม่ ซึ่งไปตรงกับภาพรวมของการวิจัยที่บอกว่า เด็กชนบท 30% ไม่มีพ่อหรือแม่อยู่พร้อมหน้ากัน เหมือนสภาพสังคมเมือง นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น คุณภาพของคนก็ลดถอยลง ทั้งในแง่ความรู้และคุณธรรม

อะไรทำให้สังคมชนบทมีสภาพเช่นนี้ได้

ระบบทุนนิยมบริโภคที่ทุกคนถือเอาเงินเป็นใหญ่ เมื่อเอาเงินเป็นใหญ่ ก็มีแนวโน้มตัวใครตัวมัน ทั้งในระดับครอบครัวและชุมชน ขณะเดียวกันปัญหาหนี้สินที่เกิดจากรายได้น้อยแต่รายจ่ายเพิ่ม รายจ่ายที่ว่านี้รวมถึงต้นทุนการผลิตด้วย เช่น จ้างคนมาทำไร่ ค่าใช้จ่ายเรื่องยาฆ่าหญ้า ฆ่าแมลง เป็นต้น

ฉะนั้น เมื่อสภาพเศรษฐกิจแย่ มิหนำซ้ำยังติดอบายมุข การพนัน เหล้า ยา ก็เกิดการเสื่อมถอย พ่อแม่ไม่มีเวลาให้ลูก ลูกก็ไม่มีใครสอน คุณธรรมก็แย่ลง รวมถึงระบบการศึกษาที่ล้มเหลว โรงเรียนในชนบท ครูไม่มีเวลาให้กับนักเรียน เพราะครูเองก็เป็นหนี้ ต้องหาเงิน และครูต้องพยายามทำเปเปอร์เวิร์กเพื่อที่จะเลื่อนขั้น เลื่อนตำแหน่ง จึงไม่มีใครมีเวลาให้กับเด็ก เมื่อเป็นอย่างนี้คุณภาพคนก็ถดถอย ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องการเมือง ซึ่งเป็นตัวการที่ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำและความไม่เป็นธรรมสูง

แล้วสังคมไทย จะปรองดองกันได้ไหม

ถ้าความเหลื่อมล้ำถ่างกว้างขึ้น และความไม่เป็นธรรมในสังคมสูงก็ปรองดองกันยาก ในสังคมทุกสังคม แม้แต่สังคมที่ร่ำรวย ประเทศที่ร่ำรวย ที่มีความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจสูง ปัญหาต่าง ๆ ก็จะตามมามากมาย ปัญหาอาชญากรรม ปัญหาสิ่งแวดล้อม ปัญหาคุณภาพชีวิตย่ำแย่ ปัญหาเด็กท้องก่อนวัย

ฉะนั้น ต้องแก้ตรงนี้ ทำให้สังคมมีความเหลื่อมล้ำน้อยลง มีความเป็นธรรมสูงขึ้น และจะต้องทำให้ผู้คนในเชิงวัฒนธรรมมีภูมิต้านทานกับบริโภคนิยมมากขึ้น เพราะถ้าไม่อย่างนั้นเราจะหาความร่วมมือได้ยาก

แต่ต้องมีความหวังว่าจะเกิดขึ้นได้ ปรองดองไม่ได้หมายความว่า สามัคคีกันแบบรักกัน แต่ว่าสามารถอยู่ด้วยกันได้ท่ามกลางความแตกต่าง และทนกันได้ ซึ่งเราต้องหวังว่าน่าจะทำได้ มีความหวังว่าสังคมไทยยังมีทางออก

ใช่ เพราะสังคมที่มันเลวร้ายกว่านี้ แย่กว่านี้ก็ยังคืนดีกันได้ แอฟริกาใต้ หรือเขมร คนตายเป็นล้านช่วง 30 ปีที่ผ่านมา แต่สุดท้ายก็พูดคุยกันได้ หรือไอร์แลนด์กับอังกฤษที่ฆ่ากันสืบเนื่องกันมาเป็นร้อยปี ทุกวันนี้ก็สามารถมองหน้ากันได้ ทำงานร่วมกันได้ อาตมาคิดว่าถ้ามองจากประวัติศาสตร์ก็ทำให้เรามีความหวังว่าสังคมไทยจะปรองดองกันได้

พระอาจารย์จะเตือนสติสังคมไทยอย่างไร

เวลานี้คนมักจะมองถึงความต่างมากกว่าความเหมือน ที่แบ่งเป็นเหลืองและแดงก็เพราะว่าไปเน้นเอาความแตกต่างที่เกี่ยวกับคุณทักษิณและรัฐบาล ทั้งที่ในบางเรื่องอาจจะอยู่ฝ่ายเดียวกัน แต่หากเกิดสึนามิอาตมาเชื่อว่าจะไม่มีเหลืองและแดง ทุกคนจะช่วยกัน หรือวันดีคืนดีสหรัฐอเมริกาพูดจาเหยียดหยามประเทศไทย อาตมาเชื่อว่าคนที่แยกฝ่ายกันก็จะมาอยู่ฝ่ายเดียวกัน คือ เราเห็นต่างกันแค่บางเรื่อง แต่มีหลายเรื่องที่เราเห็นเหมือนกัน แต่คนไปมองที่ความต่างมากกว่าความเหมือน จึงกลายเป็นคนละขั้ว

อาตมายกตัวอย่างบ่อยครั้งว่า เราอาจจะเห็นต่างกัน 5 อย่าง แต่ว่ามีอีก 95 อย่างที่เราเหมือนกัน แต่เพราะเราไปเน้น 5 อย่างที่แตกต่างกันก็เลยกลายเป็นคนละขั้ว ฉะนั้นอาตมาจึงอยากให้มองที่ความเหมือนด้วย

ปัญหาการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย อีกแง่หนึ่งเป็นเพราะเรามองอะไรเป็นขาวเป็นดำ เช่น ฝ่ายหนึ่งบอกว่ารัฐบาลเป็นดำ ฉะนั้นต้องต่อต้านรัฐบาล ขณะที่อีกฝ่ายมองว่า ฝ่ายเสื้อแดงเป็นดำ ฉะนั้นต้องต่อต้านเสื้อแดงทุกเรื่อง แต่จริง ๆ แล้วอาตมาอยากจะมองว่ามันไม่ใช่ขาวและดำอย่างนั้นหมายความว่า ทั้งรัฐบาลมีทั้งขาวและดำ ทางเสื้อแดงหรือคุณทักษิณก็มีทั้งขาวและดำ แต่เมื่อเรามองอีกฝ่ายเป็นดำ ฝ่ายฉันเป็นขาว ก็เกิดการมองการเป็นคนละขั้วชัดเจนไม่เปิดใจที่มองเห็นว่าฝ่ายเราก็อาจจะมีความไม่ถูกต้อง อยู่นะ หรืออีกฝ่ายมีความถูกต้องอยู่

นี่เป็นปัญหาของสังคมไทย เป็นปัญหาของโลกเหมือนกับที่จอร์จ ดับเบิลยู. บุช บอกว่า ใครไม่อยู่ฝ่ายอเมริกาเป็นพวกผู้ก่อการร้าย นี่คือการมองแบบขาวดำ แต่ไม่มีพื้นที่ให้ผู้ที่ไม่สังกัดฝ่ายหรือผู้ที่เป็นกลาง ซึ่งอาตมาอยากให้มองเชิงระยะยาวว่า ที่เราแบ่งเป็นฝักเป็นฝ่ายเพราะเรายึดมั่นกับอุดมการณ์ แต่อุดมการณ์ที่เรายึดมั่นถือมั่น เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่ามันถูกต้องทั้งหมด

เบอร์ทรันด์ รัสเซล นักปรัชญา นักเขียน นักคณิตศาสตร์ และนักต่อสู้คัดค้านอาวุธนิวเคลียร์ ชาวอังกฤษ ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม เคยพูดว่า "ผมจะไม่ยอมตายเพื่อความเชื่อของผม เพราะผมไม่แน่ใจว่าสักวันหนึ่ง อุดมการณ์ผมอาจจะผิดก็ได้"

30 ปีที่แล้วทหารกับนักศึกษาประชาชน เคยจับอาวุธสู้กัน หลัง 6 ตุลา ทหารอย่างเสธ.แดง (พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล) ก็เคยไล่ล่าอดีตนักศึกษาอย่างหมอเหวง (โตจิราการ) หรือคุณจำลอง (ศรีเมือง) ก็เคยเป็นศัตรูกับคุณสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ถามว่าผ่านไป 30 ปีเป็นยังไงก็กลายเป็นเพื่อน คุณจำลองกับคุณสมเกียรติก็ขึ้นเวทีพันธมิตรฯ เสธ.แดงกับหมอเหวงก็เป็นเสื้อแดง ต่อสู้กับศัตรูคนเดียวกัน กลุ่มเดียวกัน

จริง ๆ แล้วไม่มีศัตรูที่ถาวรหรอกนะ มีเฉพาะศัตรูทางอุดมการณ์ อเมริกากับเวียดนามเคยไล่บี้กันอย่างหนัก ผ่านไป 30 ปีกอดกันทำมาหากิน แล้วที่เป็นเหลืองเป็นแดงจะฆ่ากันตายในเวลานี้ จะแน่ใจอย่างไรว่าอีก 30 ปีจะไม่เล่นกอล์ฟด้วยกัน จะไม่ร้องคาราโอเกะด้วยกัน ถ้าเรามองแบบนี้มันไม่คุ้มค่ากับการที่คนเราจะฆ่ากันเพียงเพราะความต่างด้านอุดมการณ์ เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าวันพรุ่งนี้เราจะไม่ทิ้งอุดมการณ์ หรือเปลี่ยนความคิด

สังคมไทยจะต้องรอไปถึง 30 ปี หรือเร็วกว่านั้น

จะเร็วกว่านั้นได้ถ้าศึกษาบทเรียนจากประวัติศาสตร์ว่าคนเรา 30 ปี จากศัตรูกลายเป็นมิตรได้ ถ้าเราเรียนรู้ประวัติศาสตร์ก็จะร่นเวลาแห่งความเจ็บปวดลงได้ และ ร่นเวลาแห่งความหลงให้สั้นลง เพียงแต่เราไม่เรียนประวัติศาสตร์

หลังวันที่ 19 พฤษภาคม มีชุมชนหนึ่งที่ จ.ยโสธร ใกล้ชิดกับทางสันติอโศก ก็มีกลุ่มเสื้อแดงยกพวกจะไปเผา คนส่วนใหญ่คิดว่ามีคนจะมาเผาก็ต้องระดมพลสู้ แต่ว่าคนในชุมชนแห่งนี้เขาแน่มาก แทนที่เขาจะต่อสู้ เขาก็สนทนาเจรจากับคนเสื้อแดงว่า มาจากไหน กินข้าวหรือยัง มาไกลถ้ายังไม่ได้ทานข้าว เดี๋ยวจะทำก๋วยเตี๋ยวให้กิน

สุดท้ายเขาก็ทำก๋วยเตี๋ยวให้กิน เสื้อแดงเขาก็ดีนะ เขาก็อยู่รอกิน กินอิ่มก็บอกว่า พวกเรากลับดีกว่า นี่ไงทำไมเราถึงไม่เอาชนะกันด้วยความดี คิดแต่ว่าเอาชนะใครแรงกว่า ด่าจนให้อีกฝ่ายเลิก นี่คือการชนะด้วยกำลัง ซึ่งไม่ใช่วิถีของอารยชน แม้จะไม่ใช้กำลังอาวุธ แต่เป็นกำลังแรงกดดันโดยที่ไม่ได้เอาเหตุผลมาสู้กัน เพราะถ้าไม่อย่างนั้นเราก็ไม่ต่างจากยุคถ้ำ เพียงแต่มีเทคโนโลยีที่ล้ำหน้ากว่าเท่านั้น

แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือ การเอาชนะกันด้วยความดี บางอย่างเหตุผลโต้เถียงกันด้วยเหตุผลอาจจะไม่จบ แต่บางครั้งการเอาชนะกันด้วยความดีความเมตตา จะเป็นชัยชนะที่ยั่งยืนกว่า


หน้า 36

วันศุกร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

"คันนาคอนกรีต"



วันที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 20 ฉบับที่ 7170 ข่าวสดรายวัน
ชีวิตชาวนายุคใหม่ ใช้"คันนาคอนกรีต"
คอลัมน์ รายงานพิเศษ


การทำนามักมีปัญหาในทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น หนู เพลี้ย หอย หรือน้ำแห้งแล้ง ส่งผลทำให้ผลผลิตลดลง

แต่คุณลุงสมนึก ชูศรี อายุ 66 ปี อยู่บ้านเลขที่ 87/1 หมู่ 3 ต.โพธิ์เก้าต้น อ.เมือง จ.ลพบุรี ยืนยันว่าไม่มีปัญหาเลย

เกษตรกรเมืองลิงบอกว่า การทำนาของชาวนาทุกวันนี้ต้องใช้ยาฆ่าแมลง และยาปราบศัตรูพืช มาคิดดูว่าเราต้องลงทุน เริ่มแรกเกี่ยวกับการทำนาโดยที่ไม่ให้น้ำหายไปจากนาเราจนหมด เมื่อฝนไม่ตกเราก็ต้องไม่เดือดร้อนเรื่องน้ำ และถ้าเราทำคันนาคอนกรีตทีเดียวคุ้มไปหลายสิบปี

เดิมทำคันนาดิน พัฒนามาทำเป็นคันนาคอนกรีตเสริมเหล็ก เป็นคันนาคอนกรีตกว้าง 6 นิ้ว ฝังดินอีก 50 ซ.ม. สูงเหนือดินไม่เกิน 20 ซ.ม. คันนาคอนกรีต สามารถป้องกันศัตรูที่จะมากัดกินข้าวในนาได้ เช่น หนูไม่สามารถจะอาศัยทำที่อยู่ (รูหนู) เพราะวิถีชีวิตของหนูจะเจาะรูอาศัยตามคันนา และไม่ต้องถางหญ้า หรือใช้ยาฉีดให้หญ้าตาย เพราะจะทำให้เกิดมลภาวะกับสิ่งแวดล้อม เช่นคนก็จะไม่ได้รับสารพิษ

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการป้องกันน้ำไม่ให้รั่วซึมออกไปและไหลเข้าท่วมนาได้ง่าย ตั้งแต่ทำนาด้วยคอนกรีตเสริมเหล็กมานับสิบปี ไม่เคยใช้ยาฆ่าแมลงเลย แต่ก็สามารถทำนาอยู่ได้และไม่ขาดทุนอีกด้วย

ลุงสมนึก ยังบอกอีกว่า พยายามทำนาแบบธรรมชาติ ไม่ใช้ปุ๋ย ไม่ใช้ยาฆ่าแมลง และยาปราบศัตรูพืช เริ่มต้นคิดค้นหาวิธีปราบศัตรูพืช และฆ่าแมลงด้วยธรรมชาติ เนื่องจากเลี้ยงเป็ดมานาน จึงเห็นว่าเป็ดนั้นมีประโยชน์ต่อชีวภาพมาก เพราะเป็ดนั้นนอกจากจะใช้ประโยชน์ในด้านกำจัดหอย ไล่แมลง เป็ดนั้นยังจะไข่ออกมาให้เราขายได้อีก

ถ้าเราใช้ปุ๋ยทำนา 100 ไร่ จะใช้ปุ๋ยไม่ต่ำกว่า 6,000 ก.ก. เฉลี่ยแล้ว 100 ไร่ ใช้เงินซื้อปุ๋ยไป 9 หมื่นบาท และค่ายาฆ่าแมลง ยาฆ่าหญ้าอีก เป็นการลงทุนมหาศาล เห็นว่าเป็ดนั้นมีประโยชน์มากมายจึงนำมาเลี้ยงในนา เป็ดจะต้องถ่ายออกมา ขี้เป็ดก็เป็นปุ๋ยชีวภาพ เรื่องปุ๋ยตัดปัญหาไปได้เลย

"เมื่อเราเลี้ยงเป็ดในนาข้าว เป็ดจะไล่แมลงที่มาเกาะกินอยู่กับข้าว หากินหอยเป็นอาหาร เพลี้ย พอเป็ดเข้าไปเพลี้ยก็บินหนี ทุกวันจะพาเป็ดไปกินหอยในนา ตั้งแต่เวลา 06.00-17.00 น. เย็นก็จะไปรับเป็ดกลับ เป็ดจะรู้หน้าที่ของเขาเองเมื่อเรานำรถไปจอด โดยนำสะพานพาดกระบะรถลงให้เป็นทางขึ้นรถ เป็ดก็จะพากันเดินขึ้นรถอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย"

ลุงสมนึกบอกอีกว่า ทุกวันนี้เลี้ยงเป็ดไว้ไล่แมลงและกินหอยในนาข้าว อยู่ถึง 2,500 ตัว นอกจากจะใช้เป็ดเป็นตัวกำจัดหอย กำจัดแมลงแล้ว เรายังจะมีรายได้จากการขายขี้เป็ดอีกเดือนละ 3-4 พันบาท การทำนาทุกวันนี้เลยกลายเป็นการทำนาปลอดสารพิษไปเลย

ลุงสมนึก ยังเล่าอีกว่า ทุกวันนี้ลดภาระค่าอาหารเป็ดไปได้มาก ไม่ต้องเสียเงินซื้ออาหารมาเลี้ยง เพียงแต่เหนื่อยต่อการนำเป็ดไปปล่อยในนาเท่านั้น ทุกวันนี้นอกจากจะทำนาปลอดสารพิษแล้ว ยังจะมีรายได้จากการขายไข่เป็ดอีกด้วย จึงอยากแนะนำเกษตรกรว่า พยายามอย่าไปใช้ปุ๋ยอินทรีย์ หรือปุ๋ยอื่น ต้นทุนมันสูงและข้าวก็ไม่ได้คุณภาพ พยายามทำนาโดยใช้วิธีธรรมชาติมีประโยชน์กว่า และรับประทานข้าวเข้าไปก็ปลอดสารพิษอีกด้วย

หากผู้ใดอยากจะลองทำตามสอบถามที่โทร.0-3661-7058 หรือมือถือ 08-9086-1706

แล้วลุงสมนึกจะอธิบายให้เอง



ถอด รหัสตลาดหุ้น #1 ทำเป็นเก่ง เจ๊งสถานเดียว
http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I9354102/I9354102.html

ถอด รหัสตลาดหุ้น #2 Limit Loss ไม่เป็น เงินเย็นหายเกลี้ยง
http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I9361847/I9361847.html

ถอด รหัสตลาดหุ้น #3 ยิ่งถูกยิ่งซื้อ ยิ่งซื้อยิ่งลง
http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I9363290/I9363290.html

ถอด รหัสตลาดหุ้น #4 ยิ่งไม่กล้าเสี่ยง กลับยิ่งเสี่ยง
http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I9365629/I9365629.html

ถอด รหัสตลาดหุ้น #5 วิ่งไปตามแนวโน้ม
http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I9366781/I9366781.html

ถอด รหัสตลาดหุ้น #6 รู้เขารู้เรา
http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I9369582/I9369582.html

ถอด รหัสตลาดหุ้น #7 เกาะไปกับ Fund Flow
http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I9370696/I9370696.html

ถอด รหัสตลาดหุ้น #8 ขายหมูดีกว่าขายหมา น้ำลายหกดีกว่าน้ำตาตก
http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I9373572/I9373572.html

ถอด รหัสตลาดหุ้น #9 ย้อนรอย วัฏจักรตลาดหุ้น
http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I9374778/I9374778.html

ถอด รหัสตลาดหุ้น #10 กลวิธี ขึ้นขายก่อน อ่อนซื้อกลับ
http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I9377581/I9377581.html

ถอด รหัสตลาดหุ้น #11 กลวิธี สวนควันปืน เล่นฝืนมวลชน
http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I9378622/I9378622.html

ถอด รหัสตลาดหุ้น #12 กลวิธี สงครามกองโจร
http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I9387153/I9387153.html

ถอด รหัสตลาดหุ้น #13 กลลวง ข่าวลือ
http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I9388357/I9388357.html

ถอด รหัสตลาดหุ้น #14 กลโกงปั่นหุ้น
http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I9391104/I9391104.html

ถอด รหัสตลาดหุ้น #15 รวยเรื้อรัง หันหลังให้คำว่าเจ๊ง
http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I9392250/I9392250.html

ถอด รหัสตลาดหุ้น #16 วาทะรับน้อง
http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I9394921/I9394921.html

ถอด รหัสตลาดหุ้น #บทส่งท้าย: อย่าให้ใครมาขโมยความฝันของเราไป
http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I9395949/I9395949.html

วันอังคารที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ชะตากรรม ของ ชาร์ล โสภราช


ชะตากรรม ของ ชาร์ล โสภราช

อาหารสมอง วีรกร ตรีเศศ Varakorn@dpu.ac.th มติชนรายสัปดาห์ วันที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2547 ปีที่ 24 ฉบับที่ 1255

ท่านผู้อ่านจำนวนไม่น้อยคงจำชื่อฆาตกรข้ามชาติกระเดื่องนามที่ฆ่าคนมานับสิบๆ ที่เริ่มการฆ่า (เท่าที่รู้) จากประเทศไทยเมื่อหลายสิบปีก่อน ชื่อ ชาร์ล โสภราช (Charles Sobhraj) ผมได้อ่านหนังสือประวัติชีวิตของเขาและติดตามอยากรู้มาตลอดกว่า 20 ปี ถึงชะตาชีวิตและความก้าวหน้า (ถอยหลัง) ของเขา ล่าสุดมีข่าวสำคัญเกี่ยวกับตัวเขาครับ

คนไทยอาจลืมชื่อโสภราชไปแล้ว (รูมเมตที่บ้านผม อดีตบัณฑิตเศรษฐศาสตร์ตอบคำถามของผมที่ว่าโสภราชคือใคร โดยบอกว่าเป็นนักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเปิล) แต่ต่างชาติไม่ลืม ยังติดตามชีวิตที่ชั่วร้าย และไม่ลืมชื่อเสียงที่เสียของตำรวจไทยในเรื่องที่เกี่ยวกับเขาด้วย

ชื่อของโสภราชปรากฏเป็นข่าวดังในหนังสือพิมพ์ไทย เมื่อเกิดคดีฆาตกรรมหนุ่มสาวดัชต์คู่หนึ่งในกลางเดือนธันวาคม 2518 โดยเผาศพจนมอดไหม้หมด และพบอีก 5 ศพของนักท่องเที่ยวต่างประเทศในช่วงไม่กี่เดือนก่อนหน้านั้น ผู้ต้องสงสัยก็คือ ชาร์ล โสภราช ผู้อยู่อาศัยในตึกอพาร์ตเม้นต์เดียวกับผู้ตาย 5 รายแรก

เขาถูกจับโดยตำรวจไทยไม่กี่ชั่วโมงก็ปล่อยตัว จึงเผ่นหนีไปเนปาล โสภราชเขียนเล่าอย่างขบขันถึงความไร้ประสิทธิภาพของตำรวจไทย และการให้เงินสดติดสินบนก้อนใหญ่จนสามารถหลบหนีออกนอกประเทศโดยใช้พาสปอร์ตของเหยื่อ

เมื่อถึงกาฐมาณฑุ ประเทศเนปาล โสภราชก็ก่อเรื่องอีก ด้วยการแทงนักท่องเที่ยวอเมริกันหญิงตาย และก่อนหน้านั้นหนึ่งวันก็ฆ่าแฟนชาวแคนาเดียนของเธอด้วยในปลายเดือนธันวาคม 2518

หลังจากนั้นไม่นานโสภราชก็ไปสร้างข่าวฮือฮาเป็น serial killers (นักฆ่าต่อเนื่อง) ในอินเดีย ด้วยการฆ่านักท่องเที่ยวฝรั่งเศสและอิสราเอล และมอมยานักท่องเที่ยวฝรั่งเศสทั้งกรุ๊ปทัวร์ 22 คน เพื่อขโมยทรัพย์สิน

ในเดือนกรกฎาคม 2519 เขาก็ถูกตำรวจอินเดียจับได้ ขึ้นศาล ถูกจำคุกคดีฆ่าและมอมยา 12 ปี ในเดือนมีนาคม 2529 ก่อนติดคุกครบ เขาก็หนีคุกอินเดียได้สำเร็จ แต่ต่อมาก็ถูกจับได้ในอินเดียและถูกจำคุกอีก 10 ปี ซึ่งทำให้เขาสามารถหลุดพ้นจากการถูกส่งข้ามแดนมาขึ้นศาลคดีร้ายแรงฆ่า 7 ศพในประเทศไทย ซึ่งมีโทษถึงประหารชีวิต

หลังจากติดคุกจนครบ 10 ปี เขาออกมาเป็นอิสระในเดือนกุมภาพันธ์ 2540 ผู้คนก็ลืมคดีและความชั่วร้ายของเขาไปชั่วขณะ และที่สำคัญก็คือ คดีฆาตกรรมในประเทศไทยหมดอายุความไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ฟ้าดินยังให้ความยุติธรรมอยู่ เพราะอายุความของคดีเนปาลเมื่อ พ.ศ.2518 ยังไม่หมดลง

โสภราช เป็นลูกครึ่งเวียดนาม-อินเดีย เกิดในสลัมฮานอย เข้าใจว่าแม่มีอาชีพที่เขาไม่อยากเปิดเผย ชีวิตเติบโตด้วยการต่อสู้ ปากกัดตีนถีบ แต่เขาเป็นคนทะเยอทะยาน และมีความมุมานะ (ในทางชั่ว) คบค้ากับฝรั่งจนสามารถพูดได้ถึง 5 ภาษา

บุคลิกที่ดี หน้าตาที่หล่อเหลา พูดจาโน้มน้าวคนเก่ง ฉลาด และกิริยามารยาทนิ่มนวล เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เขาหลอกลวงคนได้มากมาย จนถึงฆ่าเพื่อปลดทรัพย์ วิธีการที่เขาถนัดคือการใช้ยานอนหลับใส่อาหารเพื่อปลดทรัพย์ หากต่อสู้ขึ้นมาก็ฆ่า

หนังสือชีวประวัติของเขา 4 เล่ม และสารคดีทีวี 3 ชุดเกี่ยวกับชีวิตเขาโดยมาจากคำให้สัมภาษณ์ขายดีติดอันดับโลก จนเรียกได้ว่าเขาเป็นคนดังระดับโลกทีเดียว

เรื่องทั้งหมดคงจะจบลงแค่นี้ "ความยุติธรรมปลอม" ก็คงจะเป็นว่าเขาติดคุกรวม 20 ปี สำหรับการฆ่าคนนับสิบราย และฆ่า 7 คนในประเทศไทยโดยไม่ถูกลงโทษแต่ประการใด

แต่ "ความยุติธรรมจริง" ไม่จบลงแค่นั้น เพราะมีคนชื่อ Herman Knippenberg อยู่ในโลก

Knippenberg เป็นเจ้าหน้าที่ของสถานทูตเนเธอร์แลนด์ประจำประเทศไทย เมื่อเกิดเหตุการณ์ฆ่าหนุ่มสาวนักท่องเที่ยวชาวดัชต์ในไทยใน พ.ศ.2518 เขาผู้อยู่ในวัย 32 ปี ถูกสั่งให้สืบสวนหาความจริงคดีนี้ เขาทุ่มเทสุดชีวิตและเจ็บปวดที่ตำรวจไทยไม่สนใจคดีนี้เท่าที่ควร

เขากับเพื่อนในสถานทูตเบลเยียมและอเมริกันที่มีคนของตนถูกฆ่าร่วมมือกันสืบสวนและสอบสวนจนมั่นใจว่าคนฆ่าเป็นคนเดียวกัน เขาเดินทางไปเก็บหลักฐานในหลายแห่งจนสามารถผลักดันให้ตำรวจไทยขยับได้บ้างในที่สุด

ความมุ่งมั่นของเขาในการสอบสวนทั้งๆ ที่ไม่ใช่ตำรวจ ทำให้ได้หลักฐานว่าในคดี 7 ศพในไทยโสภราชเป็นฆาตกรและมีเพื่อนร่วมมืออีก 2 คน (คนหนึ่งเป็นแฟนเขาที่เป็นชาวคานาเดียน ปัจจุบันตายแล้วด้วยโรคมะเร็ง ส่วนอีกคนหายตัวไป)

เมื่อตำรวจไทยปล่อยตัวโสภราชหนีไปแล้ว เขาพาตำรวจไปค้นบ้านโสภราชก็พบทรัพย์สินของเหยื่อหลายคน พบหยูกยาหนักถึง 8 กิโลกรัม ซึ่งมีทั้งยาฉีด ยานอนหลับอย่างแรง และยาแก้ท้องเสียผสมยาฆ่าหนูด้วย

ความใจจดใจจ่อข้ามเวลานับสิบปีข้ามประเทศของ Knippenberg ทำให้เขาเก็บหลักฐานการฆาตกรรมของโสภราชไว้มากมาย และทำให้วิทยานิพนธ์ปริญญาเอกของเขาที่เกี่ยวกับการต่อสู้ผู้ก่อการร้ายของประเทศไทยไม่เสร็จ เขาให้คำแนะนำและหลักฐานแก่ตำรวจอินเดีย ไทย เนปาล

หลักฐานสำคัญมากมายในคดีเนปาลของเขาประกอบด้วยรูปถ่าย คำให้การของพยานอย่างกว้างขวาง ใบตรวจคนเข้าเมือง สำเนาพาสปอร์ต ฯลฯ เรียกได้ว่าถึงแม้คดีจะผ่านไปเกือบ 30 ปี แต่หลักฐานเหล่านี้ก็ยังอยู่ครบ

การรักความยุติธรรมและต้องการช่วยป้องกันชีวิตเหยื่อบริสุทธิ์ไว้ (เชื่อว่าจากการฆ่าในอัตรานี้ของโสภราช Knippenberg อาจช่วยชีวิตไว้ได้ถึง 50 คน) ผลักดันให้เขาหมกมุ่นในการนำตัวโสภราชมาลงโทษให้สาสม เขาผิดหวังในคดีจากฝ่ายไทยที่มีคนถูกฆ่าถึงอย่างน้อยเท่าที่ทราบ 7 คน แต่โสภราชกลับไม่ถูกลงโทษแม้แต่น้อย

คดีโสภราชนำชื่อเสียงด้านไม่ดีสู่ตำรวจไทยจนเป็นที่รู้จักกันดีในระดับโลก หนังสือ 4 เล่มของเขาและสารคดีทีวีเผยแพร่ทั่วโลกกล่าวถึงวีรกรรมของตำรวจไทยในสมัยนั้นในการช่วยคนผิด ทั้งตัวเขาเองและอาชญากรที่เขารู้จัก เรียกได้ว่าเป็นน้ำจิ้มก่อนสู่คดีเพชรซาอุฯ ที่ตำรวจไทยดังก้องโลกในเวลาต่อมาอีกครั้ง

ในหนังสือของโสภราชยุคก่อน 14 ตุลาคม ถึงหลัง 6 ตุลาคม อาชญากรต่างชาติเดินกันขวักไขว่ในไทยเพราะไม่เกรงกลัวการติดคุก ถึงถูกจับก็ปล่อยได้ไม่ยาก

นอกจากนี้ งานจารกรรมสารพัดลักษณะของหลายประเทศจากทุกค่ายก็คึกคักอย่างยิ่งในไทยอีกด้วย

สิ่งที่ Knippenberg สะใจก็คือ ชะตากรรมของโสภราชในขั้นสุดท้ายที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ เมื่อโสภราชเป็นอิสระจากคุกอินเดียใน พ.ศ.2540 ก็เดินทางไปอยู่อาศัยในชานเมืองปารีส เป็นเวลา 6 ปี

และเขาก็ได้กระทำสิ่งพลาดครั้งสำคัญในชีวิต คือเดินทางกลับไปเนปาล ดินแดนที่คดีความฆ่า 2 หนุ่มสาวเมื่อเดือนธันวาคม 2518 ยังไม่หมดอายุ

ในเดือนกันยายน 2546 เขาถูกจับในกาสิโนของโรงแรม Yak and Yeti กลางกรุงกาฐมาณฑุ หลังจากที่มีนักหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นพบเห็นเขาก่อนหน้า 2 วัน หลังจากสู้คดีความในศาลถึง 1 ปี ศาลก็ตัดสินให้จำคุกตลอดชีวิต ซึ่งแน่นอน หลักฐานที่ใช้เกือบทั้งหมดมาจาก Knippenberg ผู้กัดโสภราชอย่างไม่ปล่อย

Knippenberg บัณฑิตจากมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด เกษียณอายุจากชีวิตนักการทูตในวันเดียวกับที่โสภราชถูกจับในกาสิโน เขาบอกว่าเขาไม่มีอะไรขุ่นข้องหมองใจเป็นส่วนตัวกับโสภราช เขาทำเพราะต้องการความยุติธรรมและเพื่อป้องกันเหยื่อรายใหม่

ผู้คนสงสัยว่าโสภราชโง่เขลาหรืออย่างไรจึงกล้าบินกลับไปเนปาลทั้งที่รู้ว่ายังมีคดีค้างอยู่ ผู้รู้คาดเดาว่าโสภราชหยิ่ง ภูมิใจในความเก่งกาจของตนเองในการเอาตัวรอดมาตลอด ว่าจะสามารถจัดการคดีเก่าได้ และประการสำคัญ เขาอาจต้องการความสนใจจากผู้คน เพื่อขายหนังสือเล่มใหม่ของเขา

สิ่งที่โสภราชพลาดไปก็คือ ไม่รู้ว่ามีคนเช่น Knippenberg อยู่ในโลก และไม่รู้ว่ามีการเก็บหลักฐานคดีเก่าแก่นี้ไว้เป็นอย่างดี รอคอยความหยิ่งโอหังของเขาที่จะตามมาฆ่าเขาในที่สุด

เก่งเท่าเก่งแต่ถ้ามีคนรู้ทันและตามเก็บร่องรอยแบบกัดไม่ปล่อย ก็มีโอกาสบ้อท่าได้ไม่ยากนักเหมือนกัน

.http://www.nidambe11.net/ekonomiz/2004q3/article2004sep07p3.htm

...................................

14 กค. 2553 06:22 น.
ศาลสูงสุดเนปาลจะมีคำพิพากษาในวันพุธตามเวลาท้องถิ่น เรื่องคำยื่นฎีกาของชาร์ล โสภราชชาวฝรั่งเศสวัย 65 ปี และเขาอาจได้รับอิสรภาพหากศาลพลิกคำตัดสินลงโทษจำคุกเขานาน 20 ปี ในข้อหาสังหารโหดและเผาศพนักท่องเที่ยวแบบแบ็คแพกเกอร์ชาวอเมริกันคนหนึ่งในกรุงกาฏมัณฑุเมื่อปี 2518 โดยเขาถูกจับเมื่อ 6 ปีก่อนขณะหวนกลับไปที่เนปาลและถูกศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกตลอดชีวิต ส่วนศาลอุทธรณ์ลดโทษเหลือจำคุก 20 ปีในเวลาต่อมา
โสภราชยืนยันว่าตัวเองบริสุทธิ์และว่าเขาไม่เคยไปเนปาลก่อนหน้าถูกจับที่บ่อนคาสิโนในกาฎมัณฑุเมื่อปี 2546 แต่ตำรวจเกษียณอายุนายหนึ่งให้การต่อศาลว่าเคยพบเขาที่เนปาลเมื่อปี 2518 และผลการวิเคราะห์ลายมือบนบัตรลงทะเบียนเข้าพักที่โรงแรม 2 ใบในช่วงเกิดเหตุฆาตกรรมยืนยันว่าเป็นเขา คณะทนายความของโสภราชระบุว่า โสภราชผู้ฝึกฝนตัวเองจนเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านกฏหมายจะไม่ปรากฎตัวในศาล แต่จะได้รับแจ้งผลคืบหน้า
โสภราชเป็นฆาตกรต่อเนื่องผู้เคยดังมากทั่วโลกและในไทยช่วงทศวรรษที่ 1970 โดยเชื่อว่าเขาได้สังหารโหดนักท่องเที่ยวแบ๊คแพกเกอร์ทั่วเอเชียไปอย่างน้อย 12 คน และได้สมญานามว่าหรือ”นักฆ่าบิกินี” เพราะเหยื่อฆ่าโหด 2 คนจากหลายคนที่ถูกฆ่าที่ไทย ตายอยู่ในชุดบิกินี
โสภราชมีสมญานามว่า"อสรพิษ หรือ พญามาร"(The Serpent )ด้วย เพราะมีชื่อเสียงเรื่องปลอมตัว และศิลปะในการหลบหนี เคยหนีจากเรือนจำที่กรีซ อาฟกานิสถาน และอินเดีย ที่ซึ่งเขามอมผู้คุมด้วยขนมเคลือบยา เขาเคยพยายามจะหลบหนีจากเรือนจำเนปาลเมื่อพฤศจิกายน ปี 2547 ด้วยแต่เจ้าหน้าที่จับแผนการได้เสียก่อน

โคลตัน แฮร์ริส มัวร์ จอมโจรเท้าเปล่า


14 กค. 2553 07:50 น.
ทางการบาฮามาสได้ส่งตัวนายโคลตัน แฮร์ริส มัวร์ นักย่องเบาวัย 19 ปีผู้เป็นนักโทษหลบหนีคดีจากสหรัฐฯ กลับคืนไปให้สหรัฐแล้วเมื่อวันอังคาร หลังจากมัวร์รับสารภาพผิดในข้อหานำเครื่องบินลงจอดโดยผิดกฏหมายบนเกาะแห่งหนึ่ง และศาลบาฮามาสตัดสินให้ลงโทษจำคุกเขา 3 เดือนกับปรับ 300 ดอลลาร์ ( ราว 1 หมื่นบาท)

มัวร์หลบหนีเงื้อมมือกฏหมายในสหรัฐฯมาสองปีแล้ว หลังหนีออกจากสถานที่สำหรับผู้ใกล้พ้นโทษที่นครซีแอทเทิล รัฐวอชิงตันของสหรัฐฯ เขาถูกจับได้เมื่อวันอาทิตย์ หลังการไล่ล่าด้วยเรือความเร็วสูงที่เกาะบาฮามาส ฮาเบอร์ หนึ่งสัปดาห์หลังจากตำรวจบาฮามาสพบซากเครื่องบินเล็กที่เขาผู้เรียนขับเครื่องบินด้วยตัวเอง ขโมยขับหนีมาจากสหรัฐฯ ก่อนจะจับเขาขึ้นเครื่องบินและเนรเทศกลับสหรัฐฯในที่สุด

นายมัวร์ผู้สูง 6 ฟุต 5 นิ้วกลายเป็นฮีโร่ท้องถิ่นทางอินเตอร์เน็ต มีแฟนเพจหน้าหนึ่งทางชุมชนออนไลน์ "เฟซบุ๊ค" ที่มีผู้ติดตามมากกว่า 68,600 คน และเขาโดยได้สมญานามว่า"โจรเท้าเปล่า" หลังจากการสอบสวนในคดีขโมยเครื่องบินลำหนึ่งในรัฐไอดาโฮเมื่อปีที่แล้ว ได้พบรอยเท้านำไปที่ประตูและข้างในโรงเก็บเครื่องบินส่วนตัวลำหนึ่ง ที่เขาขโมยขับไปตกที่เทือกเขาแคสเคด ทางตะวันออกของซีแอตเทิล

เขากลายเป็นฮีโร่ในตำนานเพราะใช้วิธีหนีตำรวจทั้งโดยเดินเท้า ขับรถยนต์และขโมยเครื่องบิน ได้สมญานามจากบางคนว่า เป็นจอมโจร"บิลลี่ เดอะ คิด"ยุคใหม่ เขาเป็นที่ต้องการตัวในข้อหาย่องเบาในอย่างน้อย 6 รัฐของสหรัฐฯ กับที่แคนาดาด้วย และมีประวัติอาชญากรรมตั้งแต่อายุ12 ขวบ และในระหว่างหลบหนีในช่วงสองปีนี้ เขาก่อเหตุมากกว่า 50 คดี

มารดาของเขาคือนางแพม โคห์เลอร์ กล่าวหาตำรวจก่อนหน้านี้ว่า กล่าวโทษบุตรชายของเธอมากคดีเกินความเป็นจริง เธอเคยกล่าวชื่นชมบุตรชายว่าเป็นอัจฉริยะแม้จะเป็นในด้าอาชญากรรม เธอกล่าวเมื่อปีที่แล้วด้วยว่า บุตรชายของเธอฉลาดมาก ในการทดสอบไอคิวเมื่อสองสามปีก่อน เขามีความฉลาดต่ำว่าอัลเบิร์ต ไอสไตน์ ผู้คิดค้นระเบิดปรมาณูเพียง 3 จุดเท่านั้น

.............

เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคมที่่ผ่านมา สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ตำรวจบาฮามาส สามารถจับกุมตัว นายโคลตัน แฮร์ริส มัวร์ จอมโจร เท้าเปล่าวัย 19 ปีที่หลบหนีคดีโจรกรรมกว่า 10 คดี ในสหรัฐมากว่า 2 ปีได้แล้ว โดยเจ้าตัวไม่มีท่าทีขัดขืนแต่อย่าง ใด ถือเป็นความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจสหรัฐฯ เลยทีเดียว

โดยก่อนหน้านี้ นายโคลตัน แฮร์ริส มัวร์ ได้ตกเป็นผู้ต้องหาในคดีโจรกรรมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องบิน เรือ รถยนต์ เงิน หรือแม้แต่ขนมขบเคี้ยว ซึ่งจอมโจรรายนี้ได้เคยบุกบ้านพักตากอากาศและร้านค้าต่าง ๆ มาแล้วกว่า 50 ครั้ง จนเป็นจอมโจรที่โด่งดังมากในสหรัฐฯ เนื่องจากอายุยังน้อย แต่สามารถก่อคดีขโมยเครื่องบินเล็ก 3 ลำ เรือ 1 ลำ และรถยนต์อีก 1 คันได้ แล้วหลบหนีไปได้อย่างลอยนวล โดยในแต่ละครั้งเขามักจะทิ้งรอยเท้าที่วาด ด้วยชอล์คไว้ในที่เกิดเหตุเสมอ เพื่อเป็นการเยาะเย้ยตำรวจ

งานนี้ เจ้าตัวก็เลยดิ้นไม่หลุด ถูกสยบราบ พร้อมทั้งผู้คนในสหรัฐฯ เองก็ต่างยินดีที่ไม่ต้องคอยระแวดระวังจอมโจรเท้าเปล่ารายนี้อีกต่อไป




วันอาทิตย์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

สอนลูกมองโลก





พ่อ ลูกยืนอยู่กลางตลาด เห็นนักเลงเลือดร้อนคนหนึ่งโดนหนุ่มหน้าจืดเหยียบเท้าโดยบังเอิญ
นักเลงตะคอกด่าอย่างฉุนเฉียวพร้อมทำหน้าเอาเรื่อง หนุ่มหน้าจืดยกมือไหว้ขอโทษแล้วหลีกไปอย่างสงบ

ลูกเห็นอะไร?
ผมเห็นคนตัวใหญ่จะเอาเรื่องคนตัวเล็ก แต่คนตัวเล็กไม่สู้แล้วรีบหนีไปฮะ

แต่พ่อเห็นคนใจเล็กจะเอาเรื่องคนใจใหญ่ คนใจใหญ่ให้อภัยแล้วจากไปโดยทิ้งสันติภาพไว้เบื้องหลัง

--

พ่อ ลูกนั่งดูข่าวอยู่ด้วยกัน เห็นข่าวโจรปล้นธนาคารได้อย่างลอยนวล และถูกบันทึกไว้เป็นการโจรกรรมครั้งใหญ่ที่แยบยลยิ่ง
แม้ตำรวจยังสารภาพว่าตะลึงทึ่งอึ้งงันกันไปหมด

ลูกเห็นอะไร?
ผมเห็นหัวขโมยสมองเพชรกับรางวัลของความฉลาดฮะ

แต่พ่อเห็นคนโง่คนหนึ่งอาศัยเล่ห์กลที่มีสร้างหนี้ก้อนใหญ่เอาไว้ และจะต้องชดใช้ด้วยการมีชีวิตหลบๆซ่อนๆไปจนตาย

--

พ่อ ลูกได้ยินเพื่อนบ้านเล่าให้ฟังว่าแม่ค้าหมูปิ้งในซอยเดียวกันถูกล็อตเตอรี่ หลายสิบล้านบาท
หลังจากลงทุนอย่างสูญเปล่ามาครึ่งค่อนชีวิตอันอัตคัดขัดสน

ลูกเห็นอะไร?
ผมเห็นแม่ค้าโชคดีที่จะอยู่สบายไปทั้งชีวิตฮะ

แต่ พ่อเห็นคนมีกำลังน้อยคนหนึ่ง เพิ่งเคยถูกยัดเยียดให้แบกโอ่งหนักหลายสิบล้านไว้บนหลัง
ไม่นานเขาอาจหมดแรงแบก หรือกระทั่งล้มลงและถูกโอ่งทับบาดเจ็บได้

--

พ่อลูกชวนกันยืนจ้องแมวตัวหนึ่งที่นอนปิดตาไม่รู้ไม่ชี้กับอะไรทั้งสิ้น

ลูกเห็นอะไร?
ผม เห็นแมวตัวหนึ่งกำลังหลับสบาย น่าอิจฉาที่มันไม่ต้องเรียนหนังสือเหมือนผม
แล้วก็ไม่ต้องทำงานหาเงินเหมือนพ่อ นึกอยากพักผ่อนเมื่อไหร่ก็ได้ไม่มีใครว่า

แต่พ่อเห็นสิ่งมีชีวิตร่าง หนึ่งกำลังหลงเพลินอยู่กับความไม่รู้ไม่เห็น มันไม่ต้องเรียน ไม่ต้องทำงาน ไม่มีหน้าที่ใดๆ
แต่ก็จะตายไปโดยไม่อาจตั้งคำถาม และไม่อาจได้คำตอบอะไรจากการมีชีวิตสักข้อเดียว

--

พ่อลูกตื่นขึ้น กลางดึกเพราะได้ยินเสียงเอะอะล้งเล้งจากบ้านตรงข้าม
ทั้งคำด่าทอ ทั้งคำขับไล่ไสส่ง ตลอดจนการขว้างปาข้าวของกระแทกพื้นโครมคราม

ลูกเห็นอะไร?
ผมเห็นผัวเมียทะเลาะกันน่ากลัวมากฮะ พวกเขาคงสิ้นสุดกันในคืนนี้แน่เลย

แต่ พ่อเห็นการผูกเวรที่จะยังไม่สิ้นสุดในคืนนี้ เรื่องทางกายอาจจบ แต่เรื่องทางใจจะไม่จบง่ายๆ
การจบเวรคือการจากลาที่เงียบเชียบและเต็มไปด้วยบรรยากาศของความเข้าใจ ไม่ใช่เสียงอึกทึกครึกโครมอย่างนี้

--

พ่อลูกเดินผ่านหน้าห้างใหญ่ เห็นนักเรียนช่างกลถูกตำรวจจับกุมหลังยกพวกตีกัน

ลูกเห็นอะไร?
ผมเห็นคนใจบาปกลุ่มหนึ่งถูกจับไปเข้าห้องขังฮะ

แต่ พ่อเห็นคนธรรมดากลุ่มหนึ่ง กำลังเดินทางไปรับโทษจากกรรมที่ก่อขึ้นด้วยความไม่รู้
และมีโอกาสน้อยมากที่สถานีตำรวจจะทำให้พวกเขารู้ดีขึ้น ในเวลาต่อมาครึ่งหนึ่งของพวกเขาจะโตขึ้นกว่าเดิม ส่วนอีกครึ่งหนึ่งจะเป็นเด็กลงไปอีก

--

พ่อลูกเข้าไปในวัดใหญ่แห่งหนึ่ง เต็มไปด้วยผู้คนก้มลงกราบกรานพระประธานมากมาย

ลูกเห็นอะไร?
ผมเห็นคนหัวอ่อนกำลังตามๆกันกราบพระพุทธรูปที่ไม่มีชีวิตจิตใจอยู่ฮะ

แต่ พ่อเห็นคนใจบุญกลุ่มหนึ่ง กำลังลดทิฐิมานะกันด้วยท่ากราบหมดตัว ไม่เหลือความถือดีแม้เท่ายอดแห่งกระหม่อม
พระปฏิมามีชีวิตอยู่ในหัวใจพวกเขาเสียยิ่งกว่าคนไร้หัวใจที่อ้างว่าตนมี ชีวิต รอยยิ้มอันศักดิ์สิทธิ์ของพระปฏิมาอาจแปรเป็นรอยยิ้มชื่นบานบนใบหน้าของคน ยอมกราบ
นั่นแหละความมีชีวิต ไม่ใช่ความไร้ชีวิต

--

พ่อลูกไปเที่ยวทะเล นั่งมองฟ้ากว้างจากชายหาด ไม่มีอะไรมากไปกว่าเวลาว่างกลางทิวทัศน์เปิดโล่งตลอด

ลูกเห็นอะไร?
ผม เห็นชายหาด เห็นทะเล เห็นท้องฟ้า แล้วก็เห็นเมฆขาวฮะ อะไรๆรอบตัวเราดูกว้างไปหมด ถ้าเลือกได้ผมอยากอยู่ว่างๆอย่างนี้กับพ่อไปเรื่อยๆ

แต่พ่อเห็นใจตัว เองเปิดกว้าง เห็นสายลมหายใจที่เข้าออกอย่างสดชื่น เห็นความรู้สึกสุขสบายภายใน
แล้วก็เห็นว่าอีกเดี๋ยวพอย้ายที่ ความรู้สึกของพ่อจะต่างไป เหมือนกับที่ทุกสิ่งกำลังเป็นอะไรอยู่อย่างหนึ่ง เพื่อจะเป็นอะไรอีกอย่างหนึ่งในไม่ช้า

--

พ่อลูกเดินผ่านกระจกเงาบานใหญ่ พ่อชะงักเท้าและชวนลูกให้หยุดมองเงาในกระจก

ลูกเห็นอะไร?
เห็นความไม่เที่ยงกำลังแสดงนิมิตหลอกตาเราเป็นรูปมนุษย์ฮะ

พ่อก็เห็นอย่างนั้น แถมยังเห็นอีกด้วยว่าจิตของลูกว่างจากอุปาทานชั่วคราว และจิตนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นไปสู่ความว่างจากอุปาทานถาวร










เมื่อหันเข้ามามองที่จิต
ทั้งชีวิตจะต่างไป

วันเสาร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

"C-Class"2รุ่นใหม่เขย่ารถหรู


บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด เสริมทัพตระกูล C-Class ส่งรุ่นใหม่ออกสู่ตลาดรถหรูพร้อมกันถึง 2 รุ่น คือ C 200 CGI BlueEFFICIENCY และ C 250 CDI Blue EFFICIENCY AVANTGARDE ชูเทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อม BlueEFFICIENCY

C-Class มาพร้อมกับเครื่องยนต์ใหม่ล่าสุด ทั้งรุ่นที่ใช้เครื่องยนต์เทคโนโลยี CGI (Charged Gasoline Injection) ใช้น้ำมันเบนซิน และรุ่นที่ใช้เทคโนโลยีแบบ CDI (Common-rail Direct Injection) ใช้น้ำมันดีเซลผลิตภายใต้แนวคิด BlueEFFICIENCY ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงและช่วยลดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม

ในรุ่น C 200 CGI BlueEFFICIENCY มีสไตล์การตกแต่งให้เลือกถึง 3 แบบคือ C 200 CGI BlueEFFICIENCY, C 200 CGI BlueEFFICIENCY ELEGANCE และ C 200 CGI BlueEFFI CIENCY AVANTGARDE เครื่องยนต์ CGI แถวเรียง 4 สูบ 1796 ซีซี 184 แรงม้า สิ้นเปลืองน้ำมันโดยเฉลี่ยเพียง 13 กิโลเมตรต่อลิตร

ส่วน C 250 CDI BlueEFFICIENCY AVANTGARDE มาพร้อมกับเครื่องยนต์ดีเซลรุ่นใหม่ซึ่งเป็นคอมมอนเรลเจเนเรชั่นที่ 4 ทำงานราบเรียบ นุ่มนวลและเงียบมากขึ้นกว่าเดิม และ C 250 CDI BlueEFFICIENCY เครื่องยนต์ดีเซลแถวเรียง 4 สูบ เทอร์โบชาร์จ ความจุ 2143 ซีซี 204 แรงม้า สิ้นเปลืองน้ำมันโดยเฉลี่ยเพียง 17 กิโลเมตรต่อลิตร มีให้เลือก 5 รุ่นย่อย ราคา 2,499,000-3,349,000 บาท



วันที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 20 ฉบับที่ 7164 ข่าวสดรายวัน

เจาะเครือข่าย"หุ้นปั่น"ก.ล.ต.สาวถึง"เจ้าพ่อปิคนิค" เชื่อมโยงบริษัทรถหรู"เอส.อี.ซี."ทิ้งซากคาตลาดหุ้น

วันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 เวลา 21:05:22 น. มติชนออนไลน์

เจาะเครือข่าย"หุ้นปั่น"ก.ล.ต.สาวถึง"เจ้าพ่อปิคนิค" เชื่อมโยงบริษัทรถหรู"เอส.อี.ซี."ทิ้งซากคาตลาดหุ้น

หากย้อนรอยสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ที่ได้กล่าวโทษนายสุริยา ลาภวิสุทธิสิน และอดีตผู้บริหารของ บมจ.อีสเทิร์นไวร์ (EWC) ซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น บมจ.แคปปิทอล เอ็นจิเนียริ่ง เน็ตเวิร์ค (CEN) ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) เมื่อวันที่ 31 พ.ค.ที่ผ่านมา

เนื่องจากได้ร่วมกันกระทำทุจริตผิดหน้าที่และยักยอกเงินของอีสเทิร์นไวร์ เพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้เพื่อตนเองหรือผู้อื่นในระหว่างปี 2547-2548 ซึ่งทำให้เกิดความเสียหายแก่อีสเทิร์นไวร์เป็นจำนวน 580.1 ล้านบาท

จากช่วงเวลาของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นเป็นช่วงปีเดียวกับที่นายสุริยา นั่งตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เมื่อปี 2548 ในช่วงเวลาสั้น ๆ ซึ่งเป็นยุครัฐบาล "ทักษิณ" ที่มีนโยบายเปิดเสรีเก็งกำไรตลาดหุ้นอย่างคึกคัก ซึ่งกรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ในช่วงนั้น คือ "กิตติรัตน์ ณ ระนอง" เหตุการณ์สำคัญในช่วงนั้น หุ้นเล็กที่อยู่ในกลุ่มฟื้นฟูกิจการคึกคักมาก เพราะถูกปั่นราคาที่ถูกอยู่แล้ว และมีสภาพคล่องต่ำ โดยมีการเก็บหุ้นตุนไว้จนถึงระดับหนึ่งก็สร้างสตอรี่มีผู้ร่วมทุนรายใหม่เข้ามากอบกู้ ทำให้นักเก็งกำไรทั้งขาใหญ่และแมงเม่าโดดเข้าหุ้นร้อนกันไม่ลืมหูลืมตา

กลุ่มหุ้นที่เกี่ยวพันนักการเมืองและนักเล่นหุ้นขาใหญ่มืออาชีพ ไม่เว้นแม้แต่นักปั่นหุ้นขาใหญ่อย่าง เสี่ยสอง วัชรศรีโรจน์ ก็ปรากฏชื่อในวงการอีกคน โดยหุ้นที่ถูกสปอตไลต์ส่องมาก มีประมาณ 4-5 บริษัท ประกอบไปด้วย บมจ.ปิคนิค คอร์ปอเรชั่น (PICNI) บมจ.อีเอ็มซี (EMC) บมจ.อีสเทิร์นไวร์ (EWC) ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น บมจ.แคปปิทอล เอ็นจิเนียริ่ง เน็ตเวิร์ค (CEN), บมจ.อกริเพียว โฮลดิ้งส์ (APURE) และ บมจ.เพาเวอร์-พี (PP) ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อย่อเป็น POWER

หากย้อนดูการเคลื่อนไหวของหุ้นเหล่านี้ในช่วงเวลานั้น หุ้นปิคนิคถูกโฟกัสมากที่สุด เพราะปรากฏชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นตระกูล "ลาภวิสุทธิสิน" ถือหุ้นสัดส่วน 13.75% ในปี 2545 และกระโดดมาเป็น 58.09% ในปี 2546 หลังจากนั้นราคาหุ้นก็ทะยานขึ้นทำสถิติสูงสุด 80 บาทต่อหุ้น ในช่วงปี 2547-2548 ในช่วงเดียวกัน หุ้นอีเอ็มซีก็ย้ายจากกลุ่มฟื้นฟูเข้ามาซื้อขายในกระดานปกติในช่วงปี 2546 มีชื่อ "สุริยา" นั่งเป็นกรรมการในปี 2547 พร้อมกับมีชื่อ "พายัพ ชินวัตร" และลูกชาย "ฤภพ ชินวัตร" เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ดันราคาหุ้นขึ้นไป 7 บาท หุ้น 2 ตัวนี้ถูกจับโยนกันไปโยนกันมาจนติดตลาดเก็งกำไร

หลังจากหุ้นรีแฮปโก้จุดพลุนักเก็งกำไรติดตลาดแล้ว หุ้นที่เหลือต่างพาเหรดออกมาซื้อขายในกระดานปกติเช่นกัน มีทั้งหุ้นอีสเทิร์นไวร์ ที่ได้ผู้ถือหุ้นใหม่ที่ถูกโยงเกี่ยวข้องกับ "สุริยา" รวมทั้งยังมี "คมกริช ลือจรรยา" เพื่อนโรงเรียนเซนต์ดอมินิก แม้แต่ "รัตนา เสถียรวารี" เป็นเพื่อนภรรยา "สุริยา" ก็ร่วมวงด้วย อีกทั้งยังข้ามไปถือหุ้นอกริเพียว โดยราคาหุ้นอีสเทิร์นไวร์พุ่งขึ้นมาแตะ 40 บาทต่อหุ้น จากนั้นวิ่งพรวดถึง 84 บาท ส่วนหุ้นอกริเพียว จากเปิดตัวกว่า 1 บาท วิ่งทะลุไปที่ 291 บาทต่อหุ้น

มาตรการสกัดหุ้นร้อนของ ตลท.ในช่วงนั้น คือประกาศหยุดพักการซื้อขาย (H) และห้ามซื้อขายมาร์จิ้นและหักชำระบัญชีในหุ้นตัวเดียวกันในวันเดียวกัน (net settlement and margin trading) แต่ก็ไม่ได้ลดความร้อนแรงของหุ้นเหล่านี้ แม้จะมีการตรวจสอบความผิดปกติของราคาหุ้นและกลุ่มผู้เล่น แต่ก็ไม่สามารถตรวจสอบได้

จนกระทั่งในช่วงเดือน มี.ค. 2548 สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ตรวจพบความผิดปกติของงบการเงินปี 2547 ของปิคนิค ที่มีการตั้งค่าความนิยม (good will) ของราคาสินทรัพย์สูงถึง 1,049 ล้านบาท และสั่งแก้ไขงบการเงินดังกล่าว หลังจากนั้นยังตรวจสอบพบการตกแต่งบัญชีทำสัญญาและรับรู้รายได้ ซึ่งบันทึกเป็นการให้เช่าถังแก๊สไม่ถูกต้อง ซึ่งแต่ละรายการมูลค่านับพันล้านบาท และยังทุจริตให้กู้ยืมเงินจำนวน 85 ล้านบาท แก่นิติบุคคล 2 ราย ซึ่งเป็นการทำเพื่อประโยชน์ของอดีตผู้บริหารและบุคคลอื่น โดย ก.ล.ต.ดำเนินการกล่าวโทษตั้งแต่ 30 มิ.ย. 2548 แต่ก็ยังไม่สามารถสาวถึง "สุริยา" ได้ เพราะคนถูกกล่าวโทษคือ "ธีรัชชานนท์ ลาภวิสุทธิสิน" และ "สุภาพร ลาภวิสุทธิสิน" และบุคคลที่เกี่ยวข้องอีก 3 ราย และมีการกล่าวโทษเพิ่มเติมต่อมาในวันที่ 13 ต.ค. 2549

จนกระทั่ง ก.ล.ต.ตรวจพบข้อมูลทุจริต ยักยอกเงิน และหุ้นบริษัท เวิลด์แก๊ส (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นทรัพย์สินของปิคนิค ที่มีการโอนหุ้นเวิลด์แก๊สให้เจ้าหนี้ในราคาต่ำกว่ามูลค่าที่ 169 ล้านบาท จากมูลค่าเวิลด์แก๊สในปี 2547 อยู่ที่ 1,011 ล้านบาท จึงส่งผลให้ ก.ล.ต.สาวไปถึงตัว "สุริยา" และผู้เกี่ยวข้องในเวลาต่อมา

นอกจากนี้ ก.ล.ต.ยังเช็กบิลไปถึงหุ้นอีสเทิร์นไวร์ โดยในปี 2548 ที่พบความผิดปกติในรายการให้กู้ยืมเงินกับ บริษัท เจเจแลนด์ เดเวลลอปเม้นท์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่เกี่ยวโยงถึงภรรยาของ "สุริยา" และยังให้กู้ยืมเงินแก่ บมจ.สยามเจเนอรัลแฟคตอริ่ง (SGF) แม้ในช่วงเวลานั้นจะยังไม่สามารถกล่าวโทษได้ แต่ ก.ล.ต.ก็ยังเดินหน้ารวบรวมหลักฐานต่าง ๆ กว่า 5 ปี ถึงได้กล่าวโทษเมื่อวันที่ 31 พ.ค.ที่ผ่านมา

การเชื่อมโยงเครือข่ายกลุ่ม "สุริยา" ยังพบว่าเกี่ยวข้องไปถึงหุ้นของ บมจ.เอส.อี.ซี. ออโต้เซลส์ แอนด์ เซอร์วิส (SECC) ผู้นำเข้ารถหรูที่เข้าตลาดหุ้นได้ไม่นานก็โกยเงินผู้ถือหุ้นรายย่อยหนีหายไป ด้วยการเสกรถหายไปแบบไร้ร่องรอยจากคลังสินค้าถึง 493 คัน มูลค่า 1,409 ล้านบาท ซึ่ง ก.ล.ต.ตรวจสอบการทุจริตและยักยอกทรัพย์ของ "สมพงษ์ วิทยารักษ์สรรค์" ประธานกรรมการบริษัท และมี "สุริยา" ร่วมมือด้วยการปลอมแปลงชื่อ เพื่อยักยอกเงินบริษัทในรูปการกู้ยืมออกไปให้แก่บุคคล 4 ราย จำนวน 245 ล้านบาทอีก รวมทั้งยังพบการสร้างราคาหุ้นด้วย

ทุกวันนี้บริษัทเหลือแต่ซากความเสียหายที่ถูกทิ้งไว้ในตลาดหุ้น


วันจันทร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

"มิสเตอร์หม่า"บุรุษชุดดำ หนึ่งในมือค้ำบัลลังก์"มาร์ค"




วันที่ 05 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 เวลา 12:01:06 น. มติชนออนไลน์

"มิสเตอร์หม่า"บุรุษชุดดำ หนึ่งในมือค้ำบัลลังก์"มาร์ค"

คอลัมน์ ข้างหลังเซียน

เรื่องราวที่จะถูดถ่ายทอดหลังจากนี้ อาจทำให้หลายคนรู้สึก "อึ้ง" แต่ขณะเดียวกันอาจมีหลายคนไม่เชื่อ

ดังนั้น ขึ้นอยู่กับ "วิจารณญาณ" ของแต่ละคนว่าจะเห็นเป็นเช่นไร

โดยข้อมูลที่กำลังจะถูกเปิดเผยทั้งหมดนี้ มาจากปากคำของบุคคลสำคัญด้าน "ฮวงจุ้ย" ของประเทศไทย ที่จะมาไขความกระจ่างว่า "การเมืองไทย" เกี่ยวอะไรกับ "ศาสตร์ฮวงจุ้ย"

"วรธนัท (ณรงค์) อัศกุลโกวิท" ปรมาจารย์ด้านฮวงจุ้ย 1 ใน 3 ของโลก คือผู้ที่ยื่นมือ ก้าวเท้า อาสาเข้ามาปรับแก้ข้อบกพร่องตามหลักวิชา ผ่านสถานที่สำคัญของฝ่ายบริหารนับครั้งไม่ถ้วน

ถ้าจะเริ่มต้นที่มาที่ไปของ "มิสเตอร์หม่า" บุรุษวัย 69 ปี เข้าสู่แวดวง "ฮวงจุ้ย" โดยการสืบทอดวิชาต่อเนื่องมาจากคุณพ่อและปู่ ผ่านศาสตร์ที่เรียกว่า "เต๋าหมวกดำ" ซึ่งเป็นศาสตร์ชั้นสูงและจะถ่ายทอดเฉพาะจักรพรรดิและขุนนางจีนชั้นสูงเท่านั้น และก็ได้เดินทางไปศึกษาเพิ่มเติมที่ประเทศจีน ทิเบต และอินเดีย

"อาจารย์ วรธนัท" ใช้ความรู้ความสามารถ สร้างรายได้จากภาคธุรกิจและสถานที่ราชการในประเทศต่างๆ เช่น ฮ่องกง สิงคโปร์ มาเลเซีย อังกฤษ อเมริกา และแคนาดา

ในส่วนของสถานที่สำคัญในประเทศไทย ส่วนใหญ่การปรับเปลี่ยนฮวงจุ้ย มักจะเป็น "งานฟรี ไม่คิดตังค์" อาทิ ทำเนียบรัฐบาล รัฐสภา กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง สนามบินสุวรรณภูมิ สนามม้านางเลิ้ง

"มิสเตอร์หม่า" เริ่มเข้ามาหยิบจับปรับแก้ "ข้อเสีย" ด้านฮวงจุ้ย ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ "การเมือง" มานานพอตัวแล้ว "พี่และน้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" ก็เคยใช้บริการ

"ผมเคยเตือนคุณทักษิณเรื่องที่ทำการพรรคไทยรักไทย เพราะเป็นอาคารที่ได้มาจากการไปบีบบังคับเอามาเป็นของตัวเอง ดังนั้น ให้ระวังจะไม่มีแผ่นดินจะอยู่"

และแล้วก็เป็นไปตามที่ทำนายไว้ จนต่อเนื่องมาถึง "รัฐบาล คมช." ภายใต้การนำของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ หรือ "บิ๊กแอ้ด" นายกรัฐมนตรี เข้ามามีอำนาจบนตึกไทยคู่ฟ้า ถือเป็นช่วงที่ "อาจารย์ วหม่า" ได้ก้าวเข้ามาสู่ประตู "ทำเนียบรัฐบาล" อย่างจริงจัง

จุดเริ่มต้นมาจาก "ปัญหา" ที่เกิดขึ้นจากปัจจัยภายนอก เช่น การก่อตัวของม็อบคนเสื้อแดงที่ออกมาต่อต้านการทำงานของ "รัฐบาลทหาร" อย่างต่อเนื่อง หรือปัจจัยภายใน ซึ่งหมายถึงความขัดแย้งระหว่าง "คมช." และ "ครม."

ดังนั้น งานของ "อาจารย์ วรธนัท" คือการเข้ามาปรับฮวงจุ้ยบน "ตึกไทยคู่ฟ้า" ที่ทำงานประจำตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพื่อแก้ปัญหาทั้งหมด ...

"ยอมรับว่าไม่ใช่งานง่าย เพราะตึกไทยคู่ฟ้าถูกลงทะเบียนเป็นสมบัติชาติ ดังนั้น เราจะไปเปลี่ยนอะไรคงยาก และสิ่งที่ทำได้คือการแก้ปัญหาเป็นจุดๆ ไป โดยเฉพาะตึกไทยคู่ฟ้าเปรียบเหมือนรัฐบาล รูปทรงตึกที่ด้านหลังแหว่งเว้าเข้ามา ทำให้รัฐบาลที่เข้ามา ไม่เฉพาะรัฐบาลสุรยุทธ์ อยู่ได้ไม่นานก็ไป เพราะไม่แข็งแรง ขาดเสถียรภาพ ซึ่งตามหลักฮวงจุ้ยตึกที่แข็งแรงมักจะเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมเหมือนป้อมปราการ ทางแก้คือ ได้ตีเส้นประและนำกระถางต้นไม้ไปตั้งไว้ บริเวณบันไดทางลงด้านหลังตึกไทยคู่ฟ้า"

และอีกความลับที่ทำให้ "อึ้ง" คือรูปภาพที่ติดอยู่ทั่วบริเวณตึกไทยคู่ฟ้า ล้วนแล้วแต่เป็น "ภาพการสู้รบ" ซึ่งตามหลักฮวงจุ้ยหมายถึง ความไม่สงบ และความรุนแรงที่รัฐบาลจะต้องพบเจอตลอดมา ดังนั้น ทางแก้ไขที่ดีที่สุด คือการเอารูปภาพออกทั้งหมด

ผลคือ "ม็อบเสื้อแดง" ที่ว่าจะแรงก็ฝ่อไปก่อนที่จะเกิดมาสร้างปัญหา เช่นเดียวกับปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นใน "รัฐบาลท็อปบู๊ต" ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ พอที่จะสั่นคลอนเก้าอี้ "บิ๊กแอ้ด" ได้

พอมาถึง "รัฐบาลเทพประทาน" หลังจากมีปัญหามรสุมรุมเร้ารอบด้าน กอปรกับ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" นายกรัฐมนตรีมือใหม่หัดบริหาร ทำให้คุณแม่ "ศ.พญ.สดใส เวชชาชีวะ" ที่เกรงว่าเส้นทางของลูกชายอาจไม่ราบรื่น จึงได้มีการติดต่อ "มิสเตอร์หม่า" ซึ่งเคยขอคำปรึกษาต่อเนื่องมาตั้งแต่สมัยที่ "ลูกมาร์ค" เป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์และเป็นผู้นำฝ่ายค้านแล้ว

และพอ "อภิสิทธิ์" ก้าวเข้าสู่ตำแหน่งผู้นำประเทศ "อาจารย์ วรธนัท" เข้าไปปรับฮวงจุ้ย "ทำเนียบรัฐบาล" ให้ตามที่เคยรับปากไว้ว่าจะแก้ไขจุดบกพร่อง "ฮวงจุ้ย" ทั้งหมด

โดยเริ่มงานแรก วันที่ 19 พฤษภาคม 2553 ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่รัฐบาลใช้มาตรากระชับพื้นที่ม็อบเสื้อแดงที่ราชประสงค์ หลังชุมนุมยืดเยื้อกว่า 2 เดือน

09.00 น. คือเวลาที่ "มิสเตอร์หม่า" พร้อมคณะ ปฏิบัติการเปลี่ยนตึกไทยคู่ฟ้าให้ถูกต้องตามหลักฮวงจุ้ย "เต๋าหมวกดำ" เพื่อให้ทันท่วงทีกับสถานการณ์ที่เพิ่งเริ่มต้นขึ้น

"เดิมทีฮวงจุ้ยเป็นศาสตร์ที่เกิดขึ้นระหว่างการสู้รบ เป็นศาสตร์ที่ว่าด้วยการสู้รบ ดังนั้น การปรับฮวงจุ้ยจึงเป็นการเสริมส่งผู้นำ ทำให้แข็งแกร่ง สั่งการใครได้ และรบชนะฝ่ายตรงข้าม และเมื่อดำเนินการเสร็จ จะส่งผลให้เห็นทันที เช่นเดียวกับทำเนียบรัฐบาล เราทำเสร็จตอน 11 โมง จากนั้นไม่นานสถานการณ์ก็ยุติลงตามมา"

และภายใน 2 ชั่วโมง ภารกิจปรับฮวงจุ้ยบนตึกไทยคู่ฟ้าก็เสร็จสิ้น ซึ่งได้รับการเอื้อเฟื้อพาทัวร์สถานที่ โดย "อัญชลี วานิช เทพบุตร"

ปัญหาหลักๆ ที่พบบนตึกไทยคู่ฟ้า ของจากรูปทรงอาคารที่ผิดหลักฮวงจุ้ยแล้ว การตกแต่งที่เป็นสไตล์ "กรีก-โรมัน" มีการนำศิลปกรรมตั้งโชว์ ซึ่งเป็นสไตล์เดียวกัน แต่กลับมีลักษณะที่ชวนขนลุก โดยเฉพาะประติมากรรมรูปเด็กชายเปลือยเหยียบลิ่มที่ตอกอยู่ในปากของศีรษะมนุษย์ ซึ่งทั้งหมดล้วนผิดหลัก เนื่องจากโรมันเป็นยุคที่พ่ายสงคราม และล่มสลายไปแล้ว

ส่วนจุดสำคัญอื่นๆ อาทิ ห้องประจำตำแหน่งนายกรัฐมนตรีก็ไม่ถูกต้อง เนื่องจากมีห้องครัวอยู่ด้านหน้า ซึ่งตามหลักฮวงจุ้ยหมายถึงความสกปรก และมีความร้อน ดังนั้น การปรับแก้ ได้นำรูปหล่อโลหะสัตว์ที่แต่ละตัวก็มีหลากหลายความหมายไปตั้งไว้บนโต๊ะทำงาน

และยังได้นำ "ไฟ 5 สี" ตัวแทนธาตุต่างๆ ประกอบด้วย สีเขียวแทนไม้ สีแดงแทนไฟ สีฟ้าแทนน้ำ สีเหลืองแทนดิน สีขาวหรือเงินแทนโลหะ ไปติดตั้งไว้ใต้โต๊ะด้านขวา โดยทั้งหมดมีสรรพคุณด้านเสริมความมั่นคง มีอำนาจสั่งการได้ และได้วางอัญมณีหลากสีไว้ 9 จุด ในตึกไทยคู่ฟ้า

"อาจารย์ หม่า" ยังเล่าด้วยว่า "ส่วนกระถางต้นโกศล 6 กระถาง ที่ถูกนำมาตั้งไว้บริเวณสนามหญ้าหน้าตึกไทยคู่ฟ้า มีคนไปพูดว่าโกศลก็คือกุศล ซึ่งไม่เกี่ยวกันเลย เพราะการวางลักษณะเช่นนี้เปรียบเหมือนค่ายกล เช่นเดียวกับการติดธงหัวเขียวด้ามทอง 4 จุดตามรั้วทำเนียบ"

"ทั้งนี้ สิ่งที่เราทำไม่ใช่ว่าเราเลือกหรืออยู่ข้างรัฐบาล แต่ผมคิดว่าผมช่วยประเทศให้รอดพ้นอุปสรรค อะไรที่ทรงทำให้พระเจ้าอยู่หัวสบายพระทัย ผมยินดีทำทั้งหมด"

ทั้งหมดไม่ใช่จะยืนยันการแก้ไขปัญหาม็อบเสื้อแดงครั้งนั้นมีผลมาจากแรงส่งจาก "ศาสตร์ฮวงจุ้ย"

เพราะอาจเป็นหนึ่งในหลาย "ปัจจัย" ที่ทำให้ "รัฐบาลอภิสิทธิ์" ผ่านสถานการณ์นั้นไปได้

ที่มา : หน้า 11, หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับวันอาทืตยที่ 4 ก.ค. 2553




วันอาทิตย์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

หลักสูตรข้าว ห้องเรียนชีวิต


"ปัญหาใหญ่ของเด็กที่นี่ คือไม่เคยเรียนรู้วิถีชีวิตของตัวเอง ไม่รู้จักการทำนา ทำไร่ ทำเกษตร แต่จะให้ไปเรียนต่อในระดับที่สูงขึ้น ก็เป็นไปได้ยาก เพราะขาดเงินสนับสนุน เมื่อจบออกมาก็เป็นเพียงชนชั้นแรงงานที่ไปทำงานต่างถิ่น เราก็มาคิดว่า หากเด็กจบออกมาน่าจะมีวิชาความรู้ที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์กับการทำงานได้ จึงเป็นที่มาของการทำหลักสูตรข้าว"

ชนินทร์ญา คำดี หัวหน้าโครงการรูปแบบการจัดการเรียนการสอนอย่างมีความสุขโดยการบูรณาการวัฒนธรรมและวิถีชุมชน กล่าวถึงที่มาในการนำ "หลักสูตรข้าว" มาใช้ในการเรียนการสอนของนักเรียนโรงเรียนอนุบาลศูนย์พลาญข่อย อ.สิรินธร จ.อุบลราชธานี ซึ่งได้สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เป็นผู้ให้งบประมาณสนับสนุน
ชนินทร์ญา เล่าว่า ก่อนหน้านี้ โรงเรียนพลาญข่อยมีหลักสูตรข้าวเป็นส่วนหนึ่งของโครงการเกษตรเพื่อชีวิตอยู่แล้ว แต่ยังไม่เป็นระบบมากนัก จึงนำโครงการมาออกแบบเพิ่มเติม โดยอาศัยองค์ความรู้จากท้องถิ่น มาประยุกต์ให้เป็นหลักสูตรข้าวที่ใช้ได้จริง








หลักการคือ การบรรจุคำว่า "ข้าว" ในมิติต่างๆ ลงในการเรียนการสอนของโรงเรียน จนเกิดเป็นองค์ความรู้ใหม่ บางครั้งเด็กอาจได้เรียนจากผู้รู้ เช่น ผู้อาวุโสในชุมชน วิชาศิลปะ อาจมีศิลปะจากเมล็ดข้าว หรือ
วิชาภาษาอังกฤษ เด็กๆ จะได้เรียนรู้คำศัพท์จากข้าวในมุมต่างๆ โดยมีแปลงนาเป็นห้องเรียน และเป็นการ
เรียนจากวัตถุดิบจริง

ด้านอาจารย์สมบัติ เหสกุล นักวิชาการอิสระ ในฐานะผู้ติดตามโครงการวิจัยและนวัตกรรมของ สสส. ให้ทรรศนะว่า จุดเด่นของโครงการนี้ คือความสอดคล้องกับวิถีชีวิตของชุมชน และสามารถนำไปต่อยอดได้ โดยให้บุคลากรจากชุมชน เช่น ปราชญ์ชาวบ้าน มาเป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตร

คำว่าหลักสูตรข้าว ได้ผ่านการคิด 2 ระดับ ระดับแรก คือกระบวนการเตรียมการปลูก จนถึงระดับที่ 2 คือการเก็บเกี่ยวและการค้า หลักสูตรจะแจกแจงว่า นักเรียนชั้นนี้จะได้เรียนอะไรเกี่ยวกับข้าว เช่น ภาษาไทย จะมีวรรณคดีอะไรเกี่ยวกับข้าว หรือวิชาวิทยาศาสตร์ก็อาจจะเรียนว่า ควรให้น้ำ ให้ปุ๋ยอย่างไร ข้าวถึงจะเจริญเติบโตตามหลักวิทยาศาสตร์

"สิ่งสำคัญคือ หลักสูตรท้องถิ่น ต้องถูกพัฒนามาจากฐานความรู้ของท้องถิ่น ไม่ใช่คำสั่งมาจากส่วนกลางที่มาคอยกำหนดว่า วิชาท้องถิ่นต้องมีวิชาแกนกลาง แล้วต้องมีวิชานั้นวิชานี้เสริม อย่างหลักสูตรข้าว เราสามารถเอาวิทยาศาสตร์ไปอยู่ในนาข้าวได้ เกษตรอยู่ในนาข้าว คหกรรม อยู่ในโรงครัว แต่เอาผลผลิตไปอยู่ในนั้นด้วย"

อาจารย์สมบัติอธิบาย พร้อมเสนอความเห็นว่า หลักสูตรท้องถิ่นอาจจะต้องเรียนตามฤดูกาล เช่น หน้าแล้งเรียนเกี่ยวกับการเตรียมตัวปลูก หรือในภาคเรียนปกติ ซึ่งตรงกับหน้าฝน การเรียนต้องเป็นการเรียนเพื่อใช้ประโยชน์ในผลผลิต

ขณะที่ ครูแววมณี อ่อนน้อม ครูผู้ช่วยประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนศูนย์พลาญข่อย มองหลักสูตรข้าวว่า เป็นสิ่งที่ท้าทายสำหรับครูรุ่นใหม่ เพราะได้ลงมือทำร่วมกับเด็ก ทำให้เด็กได้มีส่วนร่วมในการเรียนการสอน ได้ลงมือทำด้วยตัวเอง เกิดการเรียนรู้เรื่องการแบ่งกันทำหน้าที่

"จริงๆ แล้ว กิจกรรมเกี่ยวกับข้าว ทางโรงเรียนทำเป็นกิจกรรมพิเศษอยู่แล้ว ด้วยการพาไปเด็กทำนา เกี่ยวข้าว คัดแยกพันธุ์ข้าว ต่อไปหากนำหลักสูตรข้าวมาทำหลักสูตรเต็มรูปแบบ จะทำให้เกิดการเรียนที่เป็นระบบมากขึ้น เช่น ในภาษาอังกฤษก็จะมีคำศัพท์ที่เกี่ยวกับข้าวให้เด็กได้เรียนรู้ อีกทั้งนำมาสู่การเรียนนอกห้องเรียนด้วย"

ครูแววมณียังเห็นว่า ปัจจุบัน แม้แต่เด็กชนบทก็ยังห่างไกลการเกษตร เพราะค่านิยมการเรียนในระดับสูง ทำให้เด็กห่างจากองค์ความรู้ดั้งเดิม จึงเป็นโอกาสดีที่เด็กได้หันกลับมาเรียนรู้สิ่งใกล้ตัว นอกเหนือจากหลักสูตรข้าวแล้ว ยังนำเด็กไปเรียนรู้จากธรรมชาติในรูปแบบอื่นๆ ด้วย อาทิ เรียนรู้เรื่องพันธุ์พืชในป่า ที่พวกเขาสามารถนำมากินได้

เช่นเดียวกับ พ่อใหญ่คำดี สายแวว เกษตรกรอาวุโส ที่แสดงความเห็นว่า หลักสูตรข้าวควรมีมานานแล้ว เนื่องจากปัจจุบันเยาวชนห่างไกลจากภูมิปัญญาดั้งเดิมของบรรพบุรุษ ทั้งที่ความรู้เหล่านี้สามารถนำไปใช้หาเลี้ยงชีวิตต่อไปได้

"หลักสูตรข้าวน่าจะทำให้เด็กหันมาสำนึกในบุญคุณของข้าวว่า ชีวิตคนไทยขาดข้าวไม่ได้ อย่างน้อยที่สุดต่อให้เราไม่ได้เรียนต่อในระดับสูงขึ้น แต่ความรู้เรื่องการปลูกข้าว ทำให้เรามีกิน มีเงินใช้พอประมาณ โดยไม่ต้องดิ้นรนไปอยู่ที่อื่น เรียนรู้ที่จะพึ่งพาตัวเองให้เป็น" พ่อใหญ่คำดี กล่าว

ในส่วนของนักเรียนตัวน้อย ด.ญ.วาสนา น้อยอำคา นักเรียนชั้นป.5 บอกว่า หลักสูตรข้าวทำให้เรียนรู้พันธุ์ข้าวที่อยู่ในชุมชน ไม่ว่าจะเป็นข้าวเหนียว ข้าวเจ้า ที่ทุกคนต้องกินในแต่ละวัน

"ได้รู้ว่า กว่าจะมาเป็นข้าวให้เรากินมันลำบากแค่ไหน พ่อแม่เรา ปู่ย่าเราช่วยกันปลูกข้าวมาให้เรากินในวันนี้ พวกเราน่าจะช่วยกันรักษาพันธุ์ข้าวไว้ เพราะข้าวสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง ทำข้าวต้มมัด ทำขนม ใส่บาตร หรือเอาไปแลกอาหารกับบ้านอื่นๆ ก็ได้" ด.ญ.วาสนา เล่าอย่างภูมิใจ

นี่คือตัวอย่างของการนำเอาองค์ความรู้ใกล้ตัวมาประยุกต์เข้ากับการเรียนการสอน และยังเป็นการสานต่อภูมิปัญญาจากรุ่นสู่รุ่น เพื่อคงวิถีชุมชนไม่ให้สลายไปตามกาลเวลา



วันที่ 04 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 20 ฉบับที่ 7157 ข่าวสดรายวัน








KFC


ชีวิตเริ่มต้นเมื่อ 65 ของผู้พันแซนเดอร์ส ตำนานไก่ทอดKFC

ต่อไปนี้เป็นเรื่องราวของนักสู้ชีวิตที่ล้มเหลวมาตลอดตั้งแต่เล็กๆจนถึงขนาดเคยคิดฆ่าตัวตายและเตรียมเขียนจดหมายลาตายแล้ว แต่สุดท้ายกลับเปลี่ยนใจที่จะสู้กับชะตาชีวิตต่อทั้งที่ตอนนั้นตัวเองอายุถึง 65 ปีซึ่งอยู่ในวัยเกษียณแล้ว ผมคิดว่าเรื่องราวอันเป็นตำนานของท่านผู้นี้น่าจะเป็นประโยชน์ต่อคนที่คิดท้อแท้และดูถูกตัวเองว่าทำอะไรไม่สำเร็จซักอย่าง ก็ลองดูตัวอย่างจากท่านผู้นี้ อย่างน้อยก็เป็นกำลังใจเล็กๆให้คิดสู้ต่อไป เพราะคนเราเกิดมาแล้วต้องสู้ตราบใดที่ยังมีลมหายใจครับ

พ่อของเขาเสียชีวิตตอนที่เขาอายุได้เพียงห้าขวบ เขาต้องออกจากโรงเรียนกลางคัน ขณะอายุ 16 ปี ตอนอายุ 17 ปี เขาแสดงความสามารถพิเศษด้วยการตกงานติดต่อกันถึง 4 ครั้ง เขาแต่งงานตอนอายุ 18 ปี ปีถัดมาเขาได้เป็นพ่อคน แต่ชีวิตคู่ของเขาก็มีความ สุขอยู่ได้ไม่นานนัก อายุ 20 ปี ภรรยาของเขาพาลูกสาว หนีไป เพราะทนใช้ชีวิตกับ เขาไม่ได้ เขาสมัครเข้าเป็นทหารในกองทัพแต่ก็ถูกขับออกมา หันเหมาสมัครเข้าโรงเรียนกฎหมาย แต่ด้วยความสามารถอันเอกอุ เขาถูกปฏิเสธอย่างไม่ใยดี แล้วเขาก็ไปทำงานเป็นพนักงานขายประกัน แน่นอนที่สุด เขาล้มเหลวอีกครั้ง แค่เกริ่นมาข้างต้นก็คงไม่ต้องบอกว่า ชายคนนี้ทำอะไรไม่ได้เรื่องเลยสักอย่าง ! แต่ก็อย่างว่าแหละ คนเราอะไรมันจะไม่ได้เรื่องไปเสียหมด สิ่งเดียวที่เขาพบว่า เขาทำได้ดีก็คือ การทำอาหาร ดังนั้นเขาจึงไปทำงานเป็นพ่อครัวและคนล้างจานในร้าน กาแฟเล็กๆ แห่งหนึ่ง แต่นั่นก็ไม่ใช่ชีวิตที่ทรงคุณค่าอะไรเลยในความคิดของเขา ทำอาหารและล้างจานอยู่จนกระทั่งเขาเกษียณ ตอนอายุ 65 ปี !

วันแรกของการเกษียณอายุ เขาได้รับเช็คเงินประกันสังคมฉบับแรกของเขา เป็นเงิน 105 ดอลลาร์ (ราวสี่พันบาท) เช็คดังกล่าวเหมือนเป็นตัวแทนของรัฐที่ฝากมาบอกเขาว่า เขาไม่อาจจะดูแลตัวเองได้ อีกต่อไปแล้วทั้งหมดที่เขาทำได้ก็คือใช้ชีวิตอยู่จนกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิตด้วยเงินสนับสนุนจากรัฐบาล มันไม่ใช่ครั้งแรกที่เขารู้สึกถูกปฏิเสธ ล้มเหลว เสียกำลังใจ และท้อแท้ ชีวิต ของเขาได้รับความผิดหวังอีกครั้งหนึ่งหลังจาก 65 ปีอันยาวนาน เขาบอกกับตัวเองว่าถ้าเขาดูแลตัวเองไม่ได้ ต้องมีชีวิตอยู่โดยให้รัฐบาลดูแล เขาก็ไม่สมควรจะมีชีวิตอีกต่อไป เขาตัดสินใจ (อีกแล้ว) ว่า " จะฆ่าตัวตาย "

เขาหยิบกระดาษหนึ่งแผ่นกับดินสอหนึ่งแท่ง นั่งลงใต้ต้นไม้ในสวนหลังบ้านอย่างสงบ ตั้งใจที่จะเขียนคำสั่งเสียและพินัยกรรม แต่แทนที่จะทำเช่นนั้น กลับเหมือนมีอะไรมาดลใจ เหมือนเป็นครั้งแรกที่ชีวิตเกิดปัญญา เขาเริ่มต้นเขียนสิ่งที่เขาควรจะเป็น ชีวิตที่เขาควรจะมีและสิ่งที่เขาปรารถนาในช่วงชีวิตสุดท้ายที่เหลืออยู่ เขาตกใจมาก เมื่อค้นพบความจริงในชีวิตว่า เขายังไม่เคยทำอะไรสำเร็จเป็นชิ้น เป็นอันกับเขาสักอย่างเลย ! (เพิ่งนึกได้) เขานั่งครุ่นคิดกับตัวเองอย่างจริงจัง มีบางอย่างที่เขาสามารถทำได้ บางอย่างที่คนที่รอบตัวทำสู้เขาไม่ได้ ใช่ ! เขารู้วิธีปรุงอาหาร ชีวิตเกือบทั้งหมดของเขา อยู่ที่หน้าเตาร้อนๆ มาตลอด เขาตัดสินใจกับตัวเองอีกครั้ง ในที่สุดเขาเลือกที่จะมีชีวิตอยู่เพื่อทำอะไรสักอย่างในชีวิตให้ประสบความสำเร็จ เขาตั้งใจว่าถ้าเขาจะตาย เขาก็อยากจะตายในแบบที่ได้ลองพยายามเป็นใครสักคน และทำบางสิ่งบางอย่างที่มีค่าด้วยชีวิตที่เหลืออยู่น้อยนิดของเขา เขาลุกจากเงาไม้ มุ่งหน้าไปยังธนาคารในเมือง เพื่อขอยืมเงินจำนวน 87 ดอลลาร์จากเช็คประกันสังคมฉบับต่อไปของเขา เขาซื้อกล่องเปล่าและ ไก่จำนวนหนึ่ง จากนั้นเขาก็กลับไปที่บ้านและลงมือทอดไก่ที่ซื้อมาด้วยสูตรพิเศษที่เขาได้คิดค้น ขึ้นมาในช่วงหลายปีที่ทำงานที่ร้านกาแฟนั้น เขาเริ่มขายไก่ทอดของเขาตามบ้านต่างๆ ในเมืองคอร์บิน รัฐเคนตั๊กกี้ของเขา

แล้วคนขายไก่ทอดอายุ 65 ปีคนนั้นก็กลายมาเป็นผู้พันฮาร์แลนด์ แซนเดอร์ส ราชาผู้เป็นที่รักของอาณาจักร Kentucky Fried Chicken หรือที่เรารู้จักกันในนาม KFC นั่นเอง ตอนอายุ 65 ปี เขาเป็นเหมือนอนุสรณ์แห่งความล้มเหลวที่ยังมีชีวิต แต่ในวัย 85 ปี เขาก็กลายเป็นเศรษฐีพันล้านและมีชื่อเสียงไปทั่วโลก มีผู้คนให้เกียรติเขาทั่วประเทศ เรื่องราวชีวิตของผู้พันแซนเดอร์ส เป็นอีกบทหนึ่งของเรื่องราวความสำเร็จ ที่ได้รับคำยกย่องจากผู้คนทั่วโลก แต่ใครจะรู้บ้างว่าหากใต้ต้นไม้วันนั้น ผู้พันแซนเดอร์สได้ทำตามที่เขาตั้งใจไว้แต่แรก ตำนานไก่ทอดสะท้านโลกก็คงจะไม่มีให้เราได้เห็นกัน จริงอย่างที่เขาว่า ความสำเร็จกับความล้มเหลวห่างกันเพียงแค่พลิกฝ่ามือ มันอยู่ที่ว่าคุณเลือกที่จะ "สู้ต่อ" หรือ "ยอมแพ้" สำหรับผู้พันแซนเดอร์ส 65 ปี ของชีวิตที่ล้มเหลว เทียบคุณค่าอะไรไม่ได้เลยกับ 20 ปีแห่งความสำเร็จ

แล้วชีวิตของคุณล่ะ ล้มเหลวมากพอหรือยัง
ขอขอบคุณ นิตยสาร Financial Freedom


วันศุกร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

THAI ในกาลครั้งหนึ่ง....

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
เมื่อครั้งที่พระเจ้าสร้างโลก



พระองค์มีถุงหนังใบใหญ่เอาไว้ใส่ ของวิเศษต่างๆมากมาย
พระองค์เริ่มต้นด้วยการ สร้างมหาสมุทร ทั้ง7
โดยหลักของการวางของวิเศษ พระองค์จะต้องวางทั้ง
ของดีและของไม่ดี คู่กันไป

เพื่อไม่ให้ประเทศหนึ่งประเทศใด
สมบูรณ์ไปกว่าประเทศอื่นๆ



ทรง เอาเทือกเขาร็อกกี้ น้ำตกไนแองการ่า วางไว้ให้อเมริกา
แล้วก็เอาทะเลทรายอริโซน่า กับพายุทอนาโดวางไว้ด้วย

เอาป่าอเมซอน วางไว้ให้บราซิล ทรงเอาไข้ป่า วางไว้ให้ด้วย

เอาขั้วแม่เหล็กโลก วางไว้ให้แคนาดา
แต่ก็ทรงเอาความหนาวเย็นวางไว้ให้



เอาเทือกเขาหิมาลัย
ให้ธิเบตกับเนปาล เพื่อเป็นปราการกั้นข้าศึก
แต่ก็เอาความเบาบางของอากาศ และความแห้งแล้งไว้ให้

ทุกประเทศจะได้ของคู่กันแบบนี้ ทั้งหมด
.....จึงไม่มีประเทศใดน้อยหน้ากว่ากัน


คราวนี้ พระองค์ทรงลืมประเทศ รูปขวานเล็กๆ ทางแหลมอินโดจีน
ทรงสะพายถุงวิเศษ แล้วก้าวข้ามเขาหิมาลัยไป
แต่ด้วยความที่เขาสูงชันมาก
เทือกเขาได้เกี่ยวถุงของพระเจ้าขาด



ข้าวของที่ดีๆ ที่เตรียมเอาไว้ให้ประเทศอื่นๆ
เช่น ชายหาดสวยๆ ผืนดินอุดมสมบูรณ์



ศิลปะวัฒนธรรมดีๆ อาหารอร่อยที่สุดในโลก
ดอกไม้ ผลไม้ ชายทะเล ก็เทไปกองรวมกันที่
--- ประเทศไทยหมด ---



ว้า !! แย่แล้ว พระเจ้า ทรงคิดว่า ประเทศนี้
ท่าทางต้องเจริญกว่าประเทศอื่นๆ ทั้งหมดแน่นอน



พระเจ้าทรงมองหาภัยธรรมชาติที่จะมาถ่วงดุล แต่สายเสียแล้ว
พระองค์ทรงเอาภูเขาไฟ กับแผ่นดินไหว ให้ญี่ปุ่นไปแล้ว
ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ ประเทศอื่นๆ
จะมาฟ้องร้องพระองค์ได้ว่า พระองค์ไม่ยุติธรรม



จะมีภัยธรรมชาติอันใดหนอที่ จะทำให้ประเทศไทยไม่เจริญกว่า
ประเทศอื่นๆได้ เมื่อทรงคิดได้
เพื่อเป็นการป้องกัน ประเทศอันสมบูรณ์ที่สุดในโลกนี้
ไม่ให้เจริญล้ำไปกว่า ที่อื่นๆ

พระองค์ก็เลยสร้าง
.......นักการเมืองไทยขึ้นมา
ถ้ามีนักการเมืองไทยอยู่ล่ะก็



ต่อให้สมบูรณ์แค่ไหน ไทยก็ไม่มีวันเจริญ....

วันพฤหัสบดีที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2553




บทเรียนไอร์แลนด์เหนือ...จากมิคสัญญีสู่สันติภาพ

ท่ามกลางบรรยากาศการคลำทางสู่ความปรองดอง สมานฉันท์ และสันติภาพในสังคมไทย ทั้งจากปมปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองในส่วนกลาง และปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่แทบมองไม่เห็นแสงสว่าง ยังคงมีตัวอย่างความขัดแย้งขนาดใหญ่ที่จบลงได้ด้วยกระบวนการเจรจาให้ศึกษาและถอดบทเรียน

เมื่อกลางเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา ในการเรียนการสอนหลักสูตรเสริมสร้างสังคมสันติสุข หรือ "4 ส." รุ่นที่ 2 สถาบันพระปกเกล้าได้จัดเวทีพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับสมาชิกสภาไอร์แลนด์เหนือ และอดีตสมาชิกขบวนการไอร์อาร์เอ (Irish Republican Army) ซึ่งเคยมีปัญหาขัดแย้งถึงขั้นเข่นฆ่ากันมาก่อน แต่ปัจจุบันได้หันหน้ามาร่วมมือกันสร้าง "กระบวนการสันติภาพ" อันนำมาสู่การยุติความรุนแรงยืดเยื้อในไอร์แลนด์เหนือได้ในที่สุด

ไอร์แลนด์เหนือตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเกาะไอร์แลนด์ และอยู่ทางฝั่งตะวันตกของอังกฤษ ปัญหาบนเกาะเล็กๆ แห่งนี้ปะทุขึ้นมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 เมื่อชาวอังกฤษและสก็อตแลนด์ซึ่งนับถือศาสนาคริสต์นิกายโปรแตสแตนท์จำนวนมากได้อพยพเข้าไปตั้งถิ่นฐานอยู่ทางตอนเหนือของเกาะไอร์แลนด์ ทำให้ประชากรดั้งเดิมซึ่งเป็นชาวไอริชนับถือศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิกรู้สึกว่าถูกขโมยดินแดนไป และเริ่มเคลื่อนไหวต่อต้านเพื่อเรียกร้องอิสระในการปกครองตนเอง

กระทั่งปี ค.ศ.1921 อังกฤษและไอร์แลนด์ได้ลงนามในสนธิสัญญา Government of Ireland Act โดยอังกฤษยินยอมให้ 26 แคว้นบนเกาะไอร์แลนด์แยกตัวเป็นรัฐอิสระไอร์แลนด์ ขณะที่อีก 6 แคว้นทางตอนเหนือของเกาะยังคงเป็นส่วนหนึ่งของสหราชอาณาจักรต่อไป

การแบ่งประเทศครั้งนั้นทำให้ไอร์แลนด์เหนือซึ่งมีประชากรโปรแตสแตนท์ประมาณร้อยละ 60 และประชากรคาทอลิกราวร้อยละ 40 กลายเป็นพื้นที่ขัดแย้งรุนแรงระหว่างกลุ่ม Unionist ซึ่งเป็นชาวโปรแตสแตนท์ที่ต้องการเป็นส่วนหนึ่งของอังกฤษ กับกลุ่ม Nationalist ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคาทอลิก และต้องการแยกตัวเป็นอิสระจากอังกฤษเพื่อไปผนวกกับสาธารณรัฐไอร์แลนด์

กลุ่ม Unionist เป็นเสียงส่วนใหญ่ในไอร์แลนด์เหนือ กุมอำนาจทั้งการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมมานานเกือบ 50 ปี กระทั่งปี ค.ศ.1968 ได้เกิดการเดินขบวนประท้วงเรียกร้องความเท่าเทียมทางสังคม และยุติการกดขี่ชาวคาทอลิก

การประท้วงขยายตัวเป็นความรุนแรงถึงขั้นปะทะกันระหว่างกองกำลังประชาชนทั้งสองฝ่าย หรือที่รู้จักกันในชื่อ The Troubles กินเวลานานถึง 30 ปี ก่อให้เกิดความสูญเสียกว่า 3,600 ชีวิต บาดเจ็บทั้งร่างกายและจิตใจหลายหมื่นคน ทั้งยังมีผู้ถูกจับกุม 36,000 คน

แต่แล้วสิ่งที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ก็เริ่มก่อตัวขึ้น เมื่อมีกระบวนการเจรจาสันติภาพระหว่างไออาร์เอกับรัฐบาลอังกฤษ รวมทั้งกลุ่มที่ไม่มีอำนาจรัฐ (Non State Holder) ในปี ค.ศ.1994 นำไปสู่สัญญาณที่ดีของการเริ่มหยุดยิงในบางช่วง

กระทั่งปี ค.ศ.1998 ทั้งสองฝ่ายสามารถบรรลุข้อตกลงสันติภาพจากความพยายามแก้ไขปัญหาทางการเมืองด้วยสันติวิธี โดยให้อังกฤษถ่ายโอนอำนาจการปกครองให้แก่คณะผู้บริหารและสภาของไอร์แลนด์เหนือ ในลักษณะของการแบ่งสรรอำนาจระหว่างพรรคการเมืองหลักของทั้งสองฝ่าย

ผลจากข้อตกลงสันติภาพ ทำให้วันนี้คนที่เคยอยู่คนละขั้วคนละฝ่ายกัน และเคยไล่เข่นฆ่ากัน กลับมานั่งอยู่บนเวทีเดียวกันได้!

"ฟัง"เพื่อสันติภาพ

วิทยากรจากไอร์แลนด์เหนือที่มาแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ประกอบด้วย Alex Maskey สมาชิกสภาไอร์แลนด์เหนือจากเขตเบลฟาสต์ใต้ สังกัดพรรค Sinn Fein มีอุดมการณ์แยกดินแดนจากอังกฤษเพื่อตั้งรัฐอิสระ, Jimmy Spratt สมาชิกสภาไอร์แลนด์เหนือจากเขตเบลฟาสต์ใต้ สังกัดพรรค Democratic Unionist มีจุดยืนต้องการอยู่กับอังกฤษต่อไป, Michael Culbert อดีตสมาชิกขบวนการไออาร์เอ และนักโทษการเมือง ซึ่งวันนี้เป็นผู้อำนวยการ Coiste องค์กรที่ดูแลนักโทษการเมืองของไออาร์เอ และ Ian White ผู้อำนวยการศูนย์ Glencree ซึ่งเป็นเอ็นจีโอไอร์แลนด์เหนือ ทำหน้าที่สร้างพื้นที่ปลอดภัยให้ทุกฝ่ายสามารถพูดคุยกันได้

ความน่าทึ่งก็คือ คนเหล่านี้มานั่งบนเวทีเดียวกัน และพูดกันเรื่องสันติภาพ!

Ian White ถอดประสบการณ์ให้ฟังว่า ปัจจัยสำคัญของกระบวนการสันติภาพคือทุกคนต้องมีส่วนร่วม เพราะทุกฝ่ายล้วนมีคุณูปการต่อกระบวนการสันติภาพ แต่การสร้างกระบวนการสันติภาพนั้น เขาใช้คำว่า "Easy to say but difficult to do" หรือ “พูดง่ายแต่ทำยาก” เพราะมักจะมีคำถามว่าไปคุยกับคนที่ฆ่าเราได้อย่างไร

"ความยากคือการดึงคนที่ไม่ใช่เพื่อนเข้าสู่กระบวนการสันติภาพ" เขาบอก และว่า การส่งกำลังทหารเข้าไปแก้ปัญหาความขัดแย้งไม่ใช่คำตอบอย่างแน่นอน เพราะเป็นเรื่องที่พิสูจน์แล้วจากหลายๆ พื้นที่ ยิ่งไปกว่านั้น รากเหง้าของปัญหาที่ไอร์แลนด์เหนือคือความไม่เท่าเทียม ความพยายามปลูกฝังให้ยอมรับอัตลักษณ์ของอีกฝ่าย ฉะนั้นทางแก้จึงไม่ใช่อาวุธปืน

Alex Maskey เสริมว่า เคล็ดลับความสำเร็จของกระบวนการสันติภาพ คือประชาชนต้องรู้ว่ากำลังเจรจาเรื่องอะไร มีความเข้าใจ และต้องเป็นรูปธรรม ผลของกระบวนการต้องทำให้ชีวิตของประชาชนทุกฝ่ายดีขึ้น

ขณะที่ Jimmy Spratt อดีตตำรวจ ให้ทัศนะว่า กระบวนการสันติภาพใช้เวลายาวนาน ฉะนั้นแต่ละฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นพรรคการเมืองหรือประชาชนทั่วไปต้องแสดงให้เห็นว่าต้องการสันติภาพจริงๆ ก่อน การจะแสวงหาทางออกต้องเปลี่ยนวิธีคิด ต้องรู้จักรับฟังความเห็นของคนอื่นที่ไม่เหมือนกับเรา ต้องฟังว่าคนอื่นมีปัญหาอะไรบ้าง จะได้ช่วยกันแก้ แม้ปัญหาที่เจอจะไม่เหมือนกับเราก็ตาม

"การแก้ปัญหาไม่จำเป็นต้องใช้อาวุธ แต่ใช้จิตใจ การดึงทุกฝ่ายมานั่งด้วยกันเป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะทำให้เกิดการถ่วงดุลและได้รับการยอมรับในที่สุด"

ในฐานะอดีตตำรวจ เขาบอกว่า "จุดเปลี่ยน" ในทัศนะของเขาเอง คือการที่ได้ไปงานศพแล้วเห็นน้ำตาของผู้สูญเสีย ไม่ว่าจะฝ่ายไหนทุกคนก็ร้องไห้เหมือนกัน ความสูญเสียร่วมกันทำให้ต้องเข้าสู่กระบวนการสันติภาพ ขณะที่กฎหมายควบคุมสถานการณ์ฉุกเฉินแก้ไขได้ชั่วคราว แต่ไม่ยั่งยืน

Michael Culbert อดีตสมาชิกไออาร์เอ ซึ่งเคยติดคุกนานถึง 16 ปี บอกว่า ในอดีตรัฐบาลอังกฤษไม่เคยรู้เลยว่าอะไรทำให้ ไออาร์เอ ต้องต่อสู้และต้องการประกาศเอกราชจากอังกฤษ หนำซ้ำอังกฤษยังแก้ปัญหาด้วยการสนับสนุนให้คนไอริชบางกลุ่มมีอำนาจปกครอง ประชาชนส่วนที่เหลือจึงต้องต่อสู้

"อังกฤษมองไม่ออกว่าอะไรเป็นปัญหาหลัก อะไรเป็นปัญหารอง อังกฤษมองแบบผู้ปกครอง สร้างโรงเรียนให้ สร้างบ้านจัดสรรให้ แต่ไม่รู้ว่าอะไรที่ประชาชนต้องการอย่างแท้จริง เมื่อคนโดนกดขี่ ก็ต้องหยิบอาวุธขึ้นต่อสู้ เป็นความคิดทั่วๆ ไปที่เกิดขึ้นได้ในทุกๆ ประเทศ ฉะนั้นการใช้กำลังทหารตำรวจเข้าแก้ปัญหา จะทำให้ปัญหายิ่งหนักและบานปลาย”

อดีตสมาชิกไออาร์เอ เสนอว่า แนวทางแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนคือต้องสร้างเงื่อนไขที่เอื้อต่อการเจรจา และเอื้อต่อกระบวนการสร้างสันติภาพด้วย สิ่งสำคัญคือทุกฝ่ายต้องฟังกันและกัน...

หลายประโยคจากวิทยากรที่สะท้อนปัญหาความขัดแย้ง บางมุมก็ไม่ต่างอะไรกับที่ประเทศไทยกำลังเผชิญ ไม่ว่าจะในบริบทของม็อบเสื้อแดง หรือสามจังหวัดภาคใต้ก็ตาม แต่ความต่างก็คือประเทศอื่นเขาเริ่มสร้างกระบวนการสันติภาพกันแล้ว หลายชาตินับไปถึงสิบแล้วด้วยซ้ำ...

เมื่อไหร่ไทยจะเริ่มนับหนึ่ง?!?


( หมายเหตุ รายงานชิ้นนี้ ผลิตโดย ทีมข่าวอิศรา โต๊ะข่าวภาคใต้ สถาบันอิศรา

วันที่ 01 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 เวลา 14:10:14 น. มติชนออนไลน์